อย่ากลัว
โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร
บรรยายเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน๒๕๕๓
ขณะนี้มีข่าวสารเกี่ยวกับภัยพิบัติออกมาเผยแพร่กันมาก แต่ไม่ว่าจะมีความวิบัติใดเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าทรงเตือนไว้แล้วว่าจงยังชีวิตด้วยความไม่ประมาทเถิดหยุดเสียทีกับการซื้อเพื่อเก็งกำไรหยุดใช้ชีวิตเสี่ยงๆ อย่าพยายามหนีภัยไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ หากเชื่อกรรมแล้วถึงเราไม่โดนน้ำท่วมก็ตาย ไม่โดนแผ่นดินแยกก็ตายนั่งอยู่กับบ้านก็ตายได้ เพราะความตายมาจากเหตุ ๔ ประการ
๑.ตายเพราะหมดกรรม
๒. ตายเพราะหมดอายุขัย
๓.ตายเพราะหมดทั้งกรรมและอายุขัย
๔. อุปฆาตกรรม หรือเรียกว่ากรรมตัดรอน
ท่านเปรียบชีวิตเหมือนตะเกียงน้ำมันไฟที่ติดอยู่จะต้องประกอบไปด้วย น้ำมัน ไส้ตะเกียง ออกซิเจนและการสืบต่อของละอองไอน้ำมัน ความตายนั้นเปรียบเสมือนไฟดับ
น้ำมันหมด ไฟดับ
น้ำมันอยู่ ไส้หมด ไฟดับ
น้ำมันก็หมด ไส้ก็หมด ไฟดับ
น้ำมันก็อยู่ ไส้ก็อยู่ มีอำนาจอื่นเช่นลมแรงมาพัด ไฟดับ
น้ำมันเปรียบเสมือนกรรม หมดกรรมชีวิตก็อยู่ไม่ได้ ขัยอายุเปรียบเสมือนไส้ไส้หมดถึงขัยอายุ ๗๕ ปี ชีวิตก็อยู่ไม่ได้บางคนยังไม่แก่ยังหนุ่มยังสาวอยู่ก็ถูกรถชนตายบ้าง ถูกฆ่าตายบ้างหรือป่วยตายบ้างก็เพราะมีอำนาจกรรมอื่นมาตัดรอนเหมือนลมมาพัดให้ดับ
ส่วนผู้ที่อายุ ๘๐ ปีขึ้นไปแล้ว เรียกได้ว่า ทั้งน้ำมันทั้งไส้หมดแล้วแต่ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะไม่ฆ่าสัตว์ในอดีตชาติและก็ไม่เสพสุรายาเมา ทำให้สติสัมปชัญญะก็อยู่ดีไม่หลงไม่ลืมเป็นผลของกรรมฝ่ายกุศลที่คุ้มครองรักษา(อุปถัมภกกรรม)
เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว ถามว่า ความตายที่เกิดจากภัยพิบัตินั้นอยู่ในข้อไหน? ก็คือข้อที่มีอำนาจกรรมอื่นมาตัดรอน(อุปฆาตกรรม)และอำนาจนี้ก็มาจากอกุศลกรรมที่เราได้ทำมาสัตว์โลกทั้งหลายจึงย่อมเป็นไปตามกรรม
เมื่อสิ้นลมล้มตายกลายเป็นศพ
ถึงจุดจบเกมส์ชีวิตปลิดฉากฉาย
นอนในโลงใบแคบๆ โอบแนบกาย
ไม่มีสหายญาติหรือทรัพย์ไปกับเรา
แล้วเราจะวิ่งหาหรือวิ่งหนีอะไรกันอีกเล่า เพราะเราหนีไม่พ้นความตายกันทุกคน หมดกรรมก็ตายหมดอายุขัยก็ตาย หมดทั้งกรรมหมดทั้งอายุขัยก็ตาย มีกรรมมาตัดรอนก็ตายฉะนั้นมาเตรียมตัวตายกันดีกว่าด้วยการยอมรับความจริงว่าเรามีความตายเป็นของธรรมดาหัดทิ้งความต้องการเสียบ้าง และฝึกการงานแบบสัมมา
๑.ยอมรับความจริงว่าเรามีความตายเป็นของธรรมดา
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เจริญมรณานุสติ ดังนั้น ทุกเช้าก่อนออกจาก หรือจะก้าวออกจากห้องนอนก็ยืนนิ่งสักนิดหนึ่งแล้วพิจารณาว่า เรามีความตายเป็นของธรรมดาไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงเย็นหรือเปล่า วันนี้จะออกไปข้างนอกไม่รู้จะได้กลับมาบ้านหรือเปล่า .. นึกอย่างนี้ทุกเช้าเขาเรียกว่าเจริญมรณานุสติ
เมื่อยอมรับความจริงอย่างนี้ก็จะทำให้เกิดการหยุดยั้งเพื่อยังประโยชน์ หยุดความเพลิดเพลินหยุดการทำชั่วได้มากขึ้น
หลายชีวิตได้จากไปแล้วเราก็ยังเป็นเรา ไม่กระตือรือร้น อยู่ไม่นาน รู้ตัวว่าอยู่ไม่นาน ฉะนั้นยอมรับซะเถอะ เราดื้อมานานแล้ว
๒. หัดทิ้งความต้องการเสียบ้าง
เพราะคนเราไม่มีภาระ มันไม่มีห่วง ถ้าเผื่อเราต้องการปรารถนาแห่งหัวใจยังต้องการอยู่เนี่ย มันก็ยังข้องอยู่ในกิเลสกาม
๓.ฝึกการงานแบบสัมมา
การงานแบบสัมมาเป็นการงานที่ชอบธรรม (สัมมทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจาสัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ) คือมัชฌิมาปฏิปทา แต่ถ้าเราชอบโลภะเราก็ไปที่ชอบคือไปเป็นเปรตถ้าชอบโทสะก็ไปลงนรก ฉะนั้น การฝึกการงานแบบสัมมาก็จะต้องมีภาวนาทุกคืนวันทำชีวิตให้เจริญทุกคืนวันชีวิตเราก็จะอยู่รอดปลอดโปร่งทั้งชาตินี้และชาติหน้า
ฉะนั้นเมื่อเกิดภัยพิบัติเช่นน้ำท่วม ทุกคนก็ระเนระนาดลอยน้ำไปตามกรรมของสัตว์จึงอย่าไปพะวงมากกับความตาย แต่ฝึกสติสัมปชัญญะให้มากเมื่อใช้สติสัมปชัญญะอยู่ประจำเวลาเกิดอะไรขึ้นก็จะคล่องแคล่วในการเผชิญภัย
ด้วยกุศลผลบุญที่ทุ่มเทกายวาจาและใจด้วยความรักตลอดมา ขอจงเป็นกุศลที่แผ่ไปถึงทุกคนด้วยความเต็มใจ ด้วยความจริงใจขอความตั้งใจทำกุศลนานาประการนี้จงอภิบาลรักษาท่านและทำให้ซึมซาบแทรกเข้าไป กระตุ้นเตือนใจทุกคนฝึกปรือตนเองให้มีความยำเกรงต่อบาปให้มีสติให้มีสัมปชัญญะให้สามารถเพียรละเพียรระวัง เพียรสร้างและเพียรรักษากายวาจา ใจ ให้ปลอดภัยทุกเมื่อ
และขอให้สติสัมปชัญญะนั้นมีมากขึ้นจนเกิดญาณปัญญาบารมี เบื่อในการเวียนว่ายตายเกิด คือ ขันธ์ห้าเป็นทุกข์และถึงอมตะสุขคือพระนิพพานทั่วหน้าทุกคน อนุโมทนา สวัสดีค่ะ..
(แนะนำโดยคุณชนิดา เชิงสะอาด)