การได้เกิดมาในภูมิมนุษย์หาได้เกิดกันมาได้ง่ายๆ
เมื่อเกิดมามีขันธ์ห้า ต้องระลึกรู้เสมอว่า
ขันธ์ห้านี้ ไม่ใช่ของเราโดยแท้
มันเป็นการรวมกันของ ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ประกอบกันขึ้นมาเป็นขันธ์ห้า (รูป กับนาม)
ผสมผสานกันมากับกุศลจิตเดิมและอกุศลจิตเดิม
หรือวิบากรรม
ทำให้ขันธ์ห้าแต่ละคนไม่เหมือนกันอาการครบสามสิบสองบ้าง
ไม่ครบสามสิบสองบ้าง
มีการกระทำที่แตกต่างกันไป ทั้งบุญและบาป
จิตที่เกิดใหม่ต้องรู้จักถอยออกมารับรู้ดูอาการและการกระทำของจิตเดิมในขันธ์ห้า
เพราะขันธ์ห้านี้แหละที่จะเก็บบันทึกรหัสกรรม การกระทำที่เคยทำมาอย่างสันทัดจัดเจนในอดีตชาติ
นับหมื่นนับพันนับร้อยชาติ แล้วแสดงออกมา แสดงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้จักเบื่อ
เพราะมันถูกหล่อหลอมมาแบบนั้นนั่นเอง
เมื่อเรารู้แล้วเราต้องพัฒนาจิตใหม่ที่เกิดมาในขณะปัจจุบัน
ให้มีสติรู้เท่าทัน
เมื่อรู้เท่าทันอาการการแสดงของขันธ์ห้าแล้ว
ก็สามารถดีดออกจากวังวนการเวียนว่ายตายเกิด
ในรูปแบบของขันธ์เดิมนี้ได้
อย่าไปปล่อยวาง แบบไม่ยินดี ยินร้าย
ให้ขันธ์ห้ามันทำตามอำเภอใจ
ต้องรู้จักปล่อยวางอย่างชาญฉลาด
โดยมีสติกำกับตลอดเวลา
ทันบ้างไม่ทันบ้างก็ไม่เป็นไร
ดีกว่าไม่ทัน และไม่รู้ ไม่เข้าใจมัน
นั่นและเราจะจมดิ่งอยู่กับมันไปตลอดชั่วอนันต์ หาทางหลุดพ้นไม่พบ
คราวใดจิตขุ่นมัว หรืออาฆาตพยาบาท
ต้องรู้เสมอว่ามันเป็นบทบาทเดิมๆที่ขันธ์ห้าเคยเล่น
ปล่อยให้มันเล่นไปเราต้องเป็นผู้ดูที่ฉลาดในการพัฒนาชีวิตจิตวิญญาณ
ไม่ตกเป็นทาสสนิทที่คอยรับใช้ใกล้ชิดมันอีกต่อไป
เมื่อจิตประภัสสรแล้วแสงสว่างแห่งการหลุดพ้นก็จะตามมา
ขอให้ทุกคน เป็นนักรบแห่งแสงสว่าง
กระทำทุกทาง เพื่อให้แสงสว่าง แห่งรักและเมตตาปรากฏกระจายครอบคลุมทั้งโลกและจักรวาล.
ที่ผ่านมา หลายคนอาจเคยแสวงหาที่จะศึกษาเรียนรู้วิชาพลังเหนือโลก
เพื่อนำมาขจัดปัดเป่าความกลัวทั้งหลายที่ฝังรากลึกอยู่ในขันธสันดาน
เช่น กลัวเจ็บ กลัวตายกลัวจน กลัวเป็นคนไม่มีใครคบ เป็นต้น
ความกลัว ตัวนี้มันแอบซ่อนอยู่หลังฉาก ของความอยาก จนเรามองไม่เห็น
เราจึงหลงยึดความอยากมี อยากได้ อยากเป็น
เพื่อสลัดความกลัวให้ออกไปให้ได้โดยสิ้นเชิง
และหากมีใครสักคน สามารถสนองตอบ ต่อความอยากนั้นได้
ก็จะยอมรับนับถือเขา ขอสิโรราบ มอบกาย ถวายชีวิต ยอมเป็นศิษย์ทันที
ความหลงจึงเกิดตามขึ้นมา เป็นเกราะกำบังที่หนาทึบกั้นขวางปัญญาความเข้าใจในความเป็นจริงของอัตตาตัวตน(ขันธ์ห้า) ไม่ให้ปรากฏ
สาธุชนจึงควรพิจารณาใคร่ควรให้ถ่องแท้
เพราะมีตัวเรา จึงมีความกลัวความอยาก
เมื่อไม่มีตัวเรา จึงไม่มีทั้งความกลัวและความอยาก
ทุกข์เกิดเพราะตัวเรา ดับได้ก็ด้วยตัวเรา
ตัดตัวเราออกไปได้รากเหง้าแห่งการยึดติดยังจะเกาะก่อให้เกิดทุกข์อยู่ได้อีกหรือ.
ชีวิตที่เกี่ยวเนื่องด้วยผู้อื่นนั้นเป็นทุกข์
ข้อความดังกล่าวข้างต้น เป็นคติสอนเตือนใจได้เป็นอย่างดี
เป็นข้อความที่หลวงพ่อเสือ วัดไผ่สามกอ ได้ให้ไว้ร่วม 20 ปีแล้ว
ผมยังจำได้มาจนกระทั่งทุกวันนี้
เมื่อนำมาพิจารณา ณ ปัจจุบัน
ความเข้าใจอย่างกระจ่างชัดเจนก็ค่อยๆเกิดขึ้น
คำว่าทุกข์ ใครๆก็พูดได้ และเข้าใจในความหมาย
ซึ่งเป็นของคู่กันกับ สุข
เมื่อเรามีสุข เราก็จะพูดว่า หมดทุกข์แล้ว
แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ มันจะมีก็แต่ทุกข์เบาบางลงเท่านั้น
หลายภพชาติมาแล้ว เราเคยรู้ เคยเห็น เคยเป็น อะไรต่างๆนานา มามากมาย
เกิด-ตายตาย-เกิด วนเวียนกันอยู่อย่างไม่จบสิ้น
ดูราวกับว่าไม่รู้จักเบื่อกันสักที
เกิดอยู่ได้ ไม่รู้จักหยุดหย่อน
เคยเป็นมาแล้วก็หลายรูปแบบ แต่พอเกิดใหม่ทีไร ก็จำไม่ได้กันสักที
บางคนเคยเกิดเป็นผู้มีฤทธิ์ มีเดช มาแล้ว
หลังจากทิ้งสังขารขันธ์ห้าแล้วมาเกิดใหม่
ด้วยสายโยงใยแห่งการยึดมั่นถือมั่นในรูปขันธ์
ก็เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง แต่เนื่องจากเป็นผู้ติดในฤทธิ์
ไม่ได้สั่งสมปัญญามาเกิดใหม่
จึงต้องเริ่มต้นมาเรียนรู้ในพฤติกรรมความชอบความยึดในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
ที่เคยมีมาแต่เดิมเรียกว่ามีความสันทัดจันเจนมาแต่อดีตชาติ
มาเริ่มใหม่จากไม่รู้...ค่อยๆรู้...ได้รู้..ได้สัมผัสปาฏิหาริย์..ฤทธิ์เดช
ได้ฤทธิ์เดช ทำปาฏิหาริย์ให้เกิดในตนได้ เหมือนเช่นในอดีตชาติที่ผ่านมา
แต่ยังขาดปัญญา
เพราะยังคงหลงยึดติด กับสิ่งปาฏิหาริย์ พลังเหนือมนุษย์
พอตายลับดับขันธ์ไปอีก ก็ต้องมาเกิดใหม่แบบซ้ำซากจำเจ
หากพลาดท่าเสียทีประคองจิตให้อยู่ในสภาวะวิสัยของมนุษย์ไม่ได้
อาจต้องตกไปอยู่ในอเวจี จะสีชมพูหรือสีอะไรก็แล้วแต่
มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์นักเพราะจะต้องไปเกิดเป็น
เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรฉาน อีกกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านชาติ ก็ไม่มีใครรู้
เพราะไม่เคยสร้างสมปัญญาในทางที่จะนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ให้เกิดมีขึ้นมาได้เลย
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วโอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะค่อยๆริบหรี่ลงๆ
โอกาสที่จะได้สร้างสมบุญบารมี หากต้องไปเกิดในภพภูมิเดียรฉาน ก็จะหมดลง
ชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้ สามารถศึกษา เรียนรู้ ธรรมที่มุ่งตรงต่อการหลุดพ้นได้ง่ายขึ้น
เพราะมีครูบาอาจารย์ ที่สามารถกระทำให้เห็นจริงได้
ดังนั้นคำสอนหรือคำชี้แนะของครูบาอาจารย์ดังกล่าว
จะไม่สัมฤทธิ์ผลที่ตนเองเลย จนกว่าตนเองนั้นจะเป็นผู้นำมาปฏิบัติ
การปฏิบัติ ก็ไม่ต้องจำกัดว่าต้องเวลานั้น เวลานี้
มนุษย์มักจะอ้างว่า ไม่มีเวลาทั้งๆที่ทุกคนก็มีเวลาเท่ากัน วันละ 24 ชั่วโมง
การปฏิบัติตามวิถีทางของ อาจารย์สุดใจ ผู้ได้รับการถ่ายทอดมาจาก
คลื่นพลังที่มีเมตตา มีปัญญาอันเป็นบริสุทธิคุณ มีภูมิรู้ ภูมิธรรม ชั้นสูงนับว่าเป็นประโยชน์ตนได้มากที่สุด
การปฏิบัตินั้น เราสามารถฝึกปฏิบัติฝึกรู้ ได้ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
ในขณะดำเนินชีวิตไปตามปกติทุกวัน
โดยอาศัย ดูขันธ์ห้า ที่เรายึดเกาะอยู่อย่างแนบชิดสนิทใกล้
ดูในตัวเรานี่แหละ อย่าส่งออกไปดูใครอื่น
ยิ่งส่งไปดูใครอื่น ที่ไม่ใช่ตัวเรามันจะปรุงทุกข์ มาให้เรารับประทานเสียมากกว่า
นี่แหละ ที่หลวงพ่อเสือบอกไว้แต่ต้นว่า
ชีวิตที่ไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่น นั้นเป็นทุกข์
ยิ่งขาดการพิจารณาอย่างถ่องแท้ ให้เกิดปัญญา
ชีวิตนี้ก็ยิ่งน่ากลัวยิ่งนัก.
"ขออนุโมทนาครับ"
ผมอยากถามอ.เมาส์ว่า ทุกวันนี้ผมสงสัยอยู่เรื่องนึงครับ
คำว่า"ผู้อื่น"นี้หมายถึง พ่อ แม่ ลูกเมีย ญาติพี่น้องด้วยหรือเปล่าครับ
เพราะทุกครั้งที่ผมพยายามปล่อยวาง อารมณ์มันก็ทำให้้นึกถึง ลูกเมียพ่อแม่ขึ้นมาทันที
ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ไม่สบายผมผมก็คิดว่าทุกคนย่อมต้องเจอแบบี้คือมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย
แต่ พอเผลอก็เป็นทุกข์คิดมากอีก แต่ซักพักก็รู้ตัวอีกว่าทุกคนต้องเจอแบบนี้มันจะแบบนี้ตลอดเลยครับ
อ.เมาส์ ช่วยอธิบายความให้ผมได้กระจ่างแจ้งทีเถิดครับ
ผู้อื่นก็คือคนรอบข้างที่ไม่ใช่ตัวเรา นั่นแหละครับ
เราไม่สามารถหยุดเกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิดตัวได้เลย
เราจึงควรทำหน้าที่ที่อยู่ตรงหน้า(กับครอบครัว)ให้ดีที่สุด แล้วหยุดแค่นั้น
เกินความสามารถไม่มีใครทำได้
กรรมผูกพันกันมา มีทั้งดีและชั่ว
เมื่อเรายังไม่สามารถเข้าใจในทุกข์ที่เกิดได้อย่างถ่องแท้
เราจึงจำเป็นต้องดำเนินชีวิตไปตาม step
โดยถือเอามรรคมีองค์แปด เป็นหลักไว้ก่อน
เพื่อกันอกุศลกรรม อันจะพึงเกิดมาแทรก
ทำให้ชีวิตต้องถูกตัดรอน ตกไปในอบายภูมิ
เมื่อเรามีหลัก มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำว่าทุกข์
ทุกข์ เกิดได้อย่างไร
เราก็จะเข้าใจในอริยสัจสี่ ที่พระพุทธองค์ทรงแถลงไข
step การเกิดก็จะสั้นลง และสามารถออกจากทุกข์ได้ในที่สุด
ไม่ผิดหรอกถ้าจะเข้าใจตามหลักการสอนทางพระพุทธศาสนา
แต่มันอาจต้องใช้เวลานานเกินไปในยุคแห่งเทคโนโลยี่ ที่อะไรๆก็สามารถทำได้ง่ายๆ
แล้วเราจะมามัวเสียเวลากับการ ไต่ step เรียนแบบเดิมๆทำไม ไม่เป็นประโยชน์พึงได้เพื่อให้เกิดผลทันทีเลย
สรุป ทุกข์ของคุณคนล้านนาเป็นทุกข์ที่เกิดตามความเข้าใจที่มีมาแต่อดีตชาติ
เป็นแบบหล่อหลอมมาให้เป็นเช่นนั้นเอง โดยมีกรรม เป็นตัวเชื่อมโยง
การปล่อยวางอารมณ์เป็นเพียงการสกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้เกิดตามปกติที่เคยเกิด
ดังนั้นควรปล่อยให้เป็นธรรมชาติของมันเองดีกว่า แล้วเราจะได้รู้และเข้าใจในความเป็นจริง
ของขันธ์ห้า ที่เราบังคับบัญชามันไม่ได้ ให้มันเป็นไปอย่างที่เราต้องการไม่ได้
เพราะรูปแบบของมัน ถูกสร้างสั่งสม มาเป็นแบบนั้นนั่นเอง
เราจึงควรเป็นผู้ถอยออกมาดู เหมือนดูหนังดูละคร พอจบ ต่างคนก็ต่างกลับบ้าน
หมดหน้าที่การดูไม่ต้องนำมาคิดถึงขณะที่ดู ไม่มีประโยชน์ เพราะมันจบไปแล้ว