ประวัติพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
จากเว็ปไซต์อิงธรรม: http://sites.google.com/site/ingdhamma/rattanayano ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของเว็ปไซต์อิงธรรมและเจ้าของบทความต้นฉบับมา ณ ที่นี้
ชาติกำเนิด
พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เกิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2491 ในสกุล “ฝั้นเต่ย” ที่บ้านแม่สะเรียง ตำบลแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โยมบิดาของท่านชื่อ นายผัด โยมมารดาชื่อ นางใส มีอาชีพทำนา ฐานะครอบครัวอยู่ในระดับปานกลาง ท่านเป็นลูกคนที่ 7 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 9 คน เป็นชาย 5 คน และหญิง 4 คน ตัวท่านเองมีพี่ชายสามคน พี่สาวสามคน กับน้องชายและน้องสาวอีกสองคน
การศึกษาและการอาชีพ
ในวัยเยาว์ท่านเริ่มต้นการเรียนชั้นประถมศึกษาปีที 1-4 ที่โรงเรียนบ้านจอมแจ้งในตัวอำเภอแม่สะเรียง แล้วจังไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนแม่สะเรียงบริพัตรศึกษา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเดิมนัก ผลการเรียนของท่านอยู่ในลำดับที่ 1-3 ของทุกชั้น อุปนิสัยเมื่อยังเป็นเด็กนั้น โยมอุปัฏฐากสูงอายุของท่านผู้เริ่มก่อตั้งวัดดอยเกิ้งเล่าว่า ท่านเป็นเด็กที่รักสันโดษ จนถึงกับเคยไปปลูกเพิงเล็กๆ อยู่ท้ายบ้านคนเดียวในยามว่าง เมื่อจบ ม.ศ. 3 อายุของท่านยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะรับราชการได้ จึงไปอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นเวลา 1 ปี แล้วกลับมาสอบเข้ารับราชการเป็นครู ม.6 ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ท่านเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 18 ปีเศษ เมื่อ พ.ศ. 2510 ในตำแหน่งครูประจำชั้น ป.1 ที่โรงเรียนแม่ลาศึกษา ในตัวอำเภอแม่ลาน้อยของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นเวลา 1 ปี แล้วถูกย้ายไปรักษาราชการแทนครูใหญ่โรงเรียนบ้านห้วยฮ่อม ตำบลแม่ลาน้อย ประมาณ 3 เดือน ต่อจากนั้นก็ได้ไปช่วยสอนที่โรงเรียนบ้านแม่หาร อำเภอแม่สะเรียง เป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะย้ายไปประจำที่โรงเรียนบ้านผาผ่า กิ่งอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน อีก 1 ปี ซึ่งในช่วงที่เป็นครูอยู่นี้ท่านได้สอบวิชาครูชุด พ.ก.ศ. ไปด้วย โดยสอบได้ทั้ง 5 ชุดภายในเวลาปีครึ่ง ในขณะที่คนอื่นๆ ใช้เวลาประมาณ 2 ปี แต่ท่านก็ไม่ได้สอบวุฒิ ป.ม. ซึ่งเป็นชุดสุดท้ายต่อ เนื่องจากต้องการจะยุติการศึกษาวิชาครูไว้เพียงเท่านั้น
จากโรงเรียนบ้านผาผ่า ในปี พ.ศ. 2515 ท่านได้ย้ายกลับมาอยู่ที่โรงเรียนบ้านจอมแจ้ง ซึ่งตนเองเคยเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษา ปีนั้นปีที่ท่านเริ่มสในใจธรรมะโดยเริ่มต้นจากความกลัวว่าจะเสียชีวิต ท่านเล่าว่าขณะที่ตนเองนอนหลับอยู่ในตอนกลางวันของวันหนึ่งได้ฝันเห็นคนนุ่งขาวห่มขาวถือไม้เท้าเดินมาอยู่เหนือศีรษะแล้วพูดว่า “ระวังให้ดีๆ ตายโหงมาแล้ว 3 ชาติ ชาตินี้ถ้าไม่ทำความดีก็จะตายโหงอีก” ท่านจึงสะดุ้งดื่นแล้วถามตัวเองว่าจริงหรือหลอก เพราะจริงก็เหมือนฝัน ฝันก็เหมือนจริง ระยะนั้นท่านใช้ชีวิตในวัยหนุ่มอย่างสนุกสนาน เป็นประธานกลุ่มหนุ่มสาว เป็นหัวหน้าวงสตริงในหมู่เพื่อนๆ ทั้งดื่มสุราและเล่นการพนัน ใจคอกว้างขวางเลี้ยงเพื่อนฝูงไม่อั้น จนกระทั้งมีหนี้สินมากมาย เงินเดือนที่ท่านเคยรับเต็มจำนวนและเคยพอใช้ ทั้งยังส่งเสียบิดามารดาอีกเป็นประจำก็ร่อยหรอลงทุกที ความฝันในครั้งนั้นจึงเท่ากับเหนี่ยวรั้งชีวิตของท่านที่ล่องลอยไปตามกระแสโลกให้หันเหมาทางธรรม
สู่ร่มกาสาวพัสตร์
ไม่กี่เดือนต่อมาในช่วงใกล้พรรษา เพื่อนครูที่สำมะเลเทเมาด้วยกันกับท่านได้พูดขึ้นในวันหนึ่งว่า ใครที่อยากจะบวชก็บวชได้แล้ว เพราะใบลาบวชมาถึงแล้ว ท่านมาได้คิดว่าอายุของตนเองก็จวนเจียนจะถึงวัยเบญจเพศเต็มทีจะตายโหงหรือไม่หนอตามความฝันคำพูดของชีปะชาวผู้นั้นก็ยังคงกึกก้องอยู่ในหูของท่านตลอดเวลา ใจก็หมองจนคิดอยากจะบวชให้พ้นจากชะตากรรมที่ชีปะชาวทำนายในพรรษาของปี พ.ศ. 2515 นั้นเองท่านจึงได้ตัดสินใจลาราชการเพื่ออุปสมบทเป็นเวลา 3 เดือน โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดจอมแจ้งในตัวอำเภอแม่สะเรียง พระอุปัชฌาย์ของท่านคือพระครูอนุศาสนปุญญาทร (คำน้อย) ได้ตั้งฉายาให้ท่านว่า “รตนญาโณ” หมายถึง “ผู้มีญาณเป็นแก้ว” ในช่วงแรกของการอุปสมบทนี้ ท่านได้เริ่มปฏิบัติธรรมด้วยวิธีอานาปานสติ กำหนดพุทโธ และหาหนทางฝึกกรรมฐานด้วยตนเอง
พระอาจารย์รัตน์เล่าว่า ประวัติการฝึกปฏิบัติธรรมและการได้ธรรมะของท่านนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องอัศจรรย์เหลือเชื่อทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านต้องการจะเรียนธรรมะด้วยตนเองแต่ไม่มีครูบาอาจารย์สอน ก็มาคิดว่าจะเริ่มต้นจากจุดใดดี ท่านได้ไปที่ตู้หนังสือของวัดแล้วหลับตาอธิษฐาน ขอให้หยิบหนังสือที่เกี่ยวกับสมาธิภาวนาออกมาด้วยเถิด ปรากฏว่าท่านหยิบได้หนังสือ “กรรมฐาน 40” หรือวิธีปฏิบัติสมาธิ 40 วิธี จึงมาเลือกดูว่าวิธีปฏิบัติวิธีใดจะถูกกับจริตนิสัยของตัวเองบ้าง ท่านอ่านพบว่าตนเองเป็นคนวิตกจริต ควรจะต้องใช้วิธีอานาปานสติ จึงมานั่งปฏิบัติโดยกำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยตัวเองไม่ถึง 5 นาที ท่านก็รู้สึก “ตาสว่างหมด” และเห็นภาพนิมิตต่างๆ จากนั้น ท่านก็ลองปฏิบัติสมาธิอีกหลายๆ วิธีตามแนวทางในหนังสือเล่มนี้ จนกระทั้งมีความคิดว่าตนเองสามารถปฏิบัติกรรมฐานได้แล้ว แต่อย่างไรก็ดีท่านเห็นว่ากรรมฐานที่ได้ทดลองปฏิบัติไป ก็ไม่ได้ทำให้ท่านเกิดปัญญาและมีจิตหลุดพ้นได้ ครั้งต่อมาท่านจึงไปที่ตู้หนังสือเดิมอีก แล้วก็ตั้งอธิษฐานใหม่ ว่าหนังสือเล่มใดที่จะช่วยทำให้จิตของตนเองหลุดพ้นได้ก็ขอให้หยิบหนังสือเล่นั้นขึ้นมาด้วยเถิด คราวนี้ท่านหยิบได้หนังสือ “คิริมานนทสูตร” เมื่อท่านดูแล้วท่านก็ได้ธรรมข้อที่ว่า “จิตมีไว้สำหรับโลก ลมมีไว้สำหรับโลก”
เข้าถึงสภาวธรรม
ช่วงที่ท่านเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์นี้เอง ที่ความลับเรื่องหนี้สินที่มีอยู่เกิดแตกขึ้นมา เนื่องจากเมื่อถึงสิ้นเดือนโยมมารดาของท่านได้ไปรับเงินเดือนแทน และทราบว่าเงินเดือนเดือนนั้นของท่านเหลือเพียง 60 บาท โยมมารดาก็ตกใจเพราะไม่ทราบว่าพระลูกชายนำเงินไปใช้ที่ใดหมด ภาพลักษณ์การเป็นเด็กดี ส่งเสียบุพการีในสายตาของโยมบิดามารดารของท่าน ก็เปลี่ยนมาเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก ครั้นพระอาจารย์รัตน์ทราบว่าโยมมารดาล่วงรู้ความลับของตัวท่านเองหมดแล้วก็สำนึกผิด จิตใจกระวนกระวาย นั่งสมาธิไม่ได้อยู่หลายวัน ผุดลุกผุดนั่ง กว่าท่านจะเริ่มปฏิบัติได้อย่างจริงจังก็ต่อเมื่อถึงวันที่ 1 กันยายน 2515 วันนั้นท่านบอกว่าเป็น “วันตายของอาตมา แล้วก็ได้ธรรมวันนั้นพอดี” ขณะที่ท่านนั่งสมาธิไป จิตใจก็ฟุ้งซ่านมากคิดไปว่า “เราจะเป็นบ้าแล้วละกระมังอย่างที่เขาเรียกว่ากรรมฐานแตก พี่ชายก็เป็นบ้าไปคนหนึ่งแล้ว สร้างความทุกข์ยากให้กับพ่อแม่ อย่ากระนั้นเลย เราฆ่าตัวเองตายเสียดีกว่า แล้วเอาเงิน ช.พ.ค. (ช่วยเพื่อนครู) ให้พ่อแม่” แต่ปรากฏว่าท่านหาสิ่งใดๆ ที่จะฆ่าตัวเองตายก็ไม่ได้ กำลังคิดจะเอาไฟฟ้าช็อตเข้ามือตัวเองอยู่พอดี ทันใดนั้นผ้าสังฆาฏิก็ตกลงมาต่อหน้า ท่านจึงรู้สึกตัวว่า “เอ๊ะ เราเป็นพระนี่ เราไม่ควรตายด้วยวิธีนี้” แล้วก็นึกถึงหนังสือคิริมานนทสูตรที่เคยอ่านขึ้นมาได้ว่า ที่แท้จิตเป็นลม มีไว้สำหรับโลก ถ้าลมดับจิตก็ดับเพราะว่าจิตนี้อาศัยลมอยู่ ถ้าเราดับลมโดยการกลั้นลมหายใจตาย จิตก็คงจะดับไปเอง คิดได้ดังนั้น ท่านก็ตั้งใจกลั้นลมหายใจของตนเองจนกระทั่งรู้สึกเหมือนกับมีก้อนหินมาทับหน้าอกชั่วขณะจิตที่ลมหายใจของท่านกำลังใกล้จะดับอยู่นั้นเอง ก็รู้สึกว่าจิตของตัวเองหลุดออกไป แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเราคงจะต้องไปเป็นผีแน่นอน แล้วก็ต้องไปทนทุกข์อีก จิตของท่านก็ไม่อยากไปเป็น จึงหวนคืนเข้าสู่ร่างอีก ท่านจึงได้กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ท่านก็ไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ในขณะที่จิตของท่านอยู่ตรงกึ่งกลางไม่ทราบจะไปทางไหนดี เพราะไปเป็นผีก็ไม่อยากเป็น เป็นคนก็ไม่อยากเป็นอยู่นั้นเอง ก็เกิดความสว่างวาบ จิตของท่านก็หลุดจากอุปาทานของขันธ์ขึ้นในตอนนั้น รู้สึกว่า “โล่ง” ความคิดความนึกของท่านได้หายไปหมด ท่านจึงได้บรรลุธรรมในวันนั้น พร้อมกับหมดความสงสัยในเรื่องของบาปบุญคุณโทษ เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรื่องนิพพานหรือเรื่องใดๆ ที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ไปด้วย
พระอาจารย์รัตน์ได้บันทึกประสบการณ์ทางธรรมที่ท่านได้ประจักษ์ด้วยตนเองเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2515 ซึ่งท่านเรียกสภาวะเช่นนั้นว่า “ตถตา” หรือ “ตถาตา” หรือ “ความเป็นเช่นนั้นเอง” ซึ่งผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ไม่อาจบอกใครได้ ไว้ในกลอนเปล่าที่ชื่อว่า “สิ่งนั้น” ในหน้าก่อนสุดท้ายของหนังสือ “เราจะทำดวงตาให้เห็นธรรมได้อย่างไร” ของวัดดอยเกิ้ง ดังนี้
“สิ่งนั้น”
โอ้ สิ่งนี้ช่างประเสริฐจริงหนอ
ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือแตกแยก
นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยกาละเวลา
ไม่มีใครหรือธรรมชาติอันใด
ที่จะเข้าไปเกี่ยวและยึดถือ
ช่างไม่รู้จะสรรหาสิ่งใดเข้าไปเปรียบเทียบ
ทั้งไม่สามารถบรรยายเป็นภาษาพูดได้
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
แม้กาละเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป
ตราบนาน เท่านาน แสนนาน
ทว่าสิ่งนี้ก็หาได้แปรเปลี่ยนไปตามไม่
ไม่มีใครที่จะอาจเอื้อมเข้าไปแตะต้องได้แม้แต่น้อย
ถึงขุนเขาจะละลาย แม่น้ำจะเหือดแห้งไป
แต่สิ่งนี้ก็ยังคงดำรงสภาพของมันอยู่
คงฟ้า คงดิน คงจักรวาล
ไม่มีใครจะร้องเรียกหรือตั้งชื่อมันได้
ไม่มีคนที่จะเข้าไปรู้เห็นมัน
ไม่อาจที่จะเข้าไปยึดถือว่าเป็นของคนนั้นคนนี้
โอ้ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้
ถึงแม้กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติจะไหลเรื่อยไป
ทุกขณะของกงล้อแห่งกาละ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย
อยู่แล้วๆ เล่าๆ
แต่สิ่งนี้ก็ยังคงสภาพเดิมของมัน
ช่างไม่รู้ร้อน รู้หนาว รู้เปลี่ยนแปลงจริง
ฉันไม่รู้จะร้องเรียกสิ่งนั้นว่าอย่างไร
เพราะมันมิได้อยู่ใต้กฎแห่งธรรมชาติและสมมุติบัญญัติ
หรือกฎเกณฑ์ขอบข่ายของอะไรทั้งสิ้นในอนันตจักรวาลนี้
รัตน์ รตนญาโณ
1 กันยายน 2515
เมื่อแรกที่พระอาจารย์รัตน์ได้บรรจุธรรมนั้น ท่านยังไม่อาจจะสั่งสอนธรรมะให้แก่ผู้ใดได้เลย เพราะท่านเห็นว่าวิถีทางที่ตนเองได้เข้าถึงธรรมโดยการกลั้นลมหายใจตาย เป็นการเสี่ยงต่อชีวิตและยากที่จะหาใครทำได้ ตามวิสัยของสัตว์โลก ทุกคนย่อมมีห่วงและมีความรักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น คงจะไม่มีใครกล้ากลั้นลมหายใจเพื่อให้เข้าถึง “ธรรม” ได้อย่างแน่นอน ด้งนั้นวิธีการที่ทำให้บรรลุธรรมของท่านจึงคงไม่น่าที่จะให้ผลแก่บุคคลใดได้
พระอาจารย์รัตน์ได้ให้อรรถาธิบายเพิ่มเติม ถึงสภาวธรรมที่ท่านได้เข้าถึงว่าเป็น “สิ่งที่ไม่มีที่ยึดเกาะ ถ้าสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี ถ้าสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นก็ดับ เป็นไปตามเหตุและปัจจัยที่ต่อเนื่องตามเหลักพุทธศาสนา ไม่ติดอยู่ที่ความว่าง ความสะอาด สงบหรือบริสุทธิ์ต่างๆ เพราะถ้ามีการข้องติดอยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ความสะอาด บริสุทธิ์ ต่างๆ ซึ่งเป็นสมถกรรมฐานแล้วก็จะไม่เกิดการวนรอบที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตตามที่เป็นจริง” ท่านได้เปรียบเทียบสภาวะนี้ว่าเสมือนกับมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งทีใครก็มองไม่เห็น แสงก็ไม่มี แต่เป็นเมืองที่มีความสงบร่มเย็นมาก มีผู้เรียกว่าเป็นเมืองนิพพาน หากมีคนไปเห็นเมืองนี้ก็ถือว่ายังไม่ถึงเพราะเป็นการไปเห็นด้วยตา หรือหากมีคนทราบว่ามีเมืองนี้อยู่ ก็ถือว่ายังไปไม่ถึงอีกเพราะเป็นการทราบด้วยใจ ผู้สอนธรรมเพียงแต่บอกทางให้คนอื่นทราบว่าหนทางที่ไปสู่เมืองนี้คือทางใดเท่านั้น และเมื่องไปถึงเมืองนี้แล้วผู้ที่ไปถึงก็บอกใครไม่ได้อีกเช่นกันว่าเมืองนี้เป็นอย่างไรเพราะเป็น “สิ่ง” ที่พึงรู้เฉพาะตน หรือ “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ” เรียกผู้อื่นให้มาดูได้ ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ซึ่งพระพุทธองค์เองก็ไม่เคยตรัสว่าพระธรรมนั้นเป็นสีขาว สีดำ สีแดง หรือเป็นความสงบ เย็น บริสุทธิ์ แต่เป็น “สิ่ง” ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วเท่านั้น
สภาวะที่เรียกว่า “สิ่งนั้น” ซึ่งพระอาจารย์รัตน์ได้เข้าถึงนี้จะไม่สามารถเขียนออกมาได้ และจะพูดว่าเป็นความว่างก็ไม่ได้หรือความสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสงบก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะไม่เช่นนั้นก็จะมี “ของคู่” ของสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาเกิดขึ้นทันที สภาวะนี้จะเป็นตัวคงที่เป็นสภาวะตถตา คือความเป็นเช่นนั้นเองของมันจะลืมตาหรือหลับตาก็เป็นอยู่เช่นนั้น ไม่เห็นความแตกต่าง อีกทั้งยังเป็นการไม่ยึดติดในทิฏฐิหรือความเห็นสองส่วนด้วย อันได้แก่ อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญคือ เห็นว่าทุกอย่างนั้นว่างเปล่าไม่มีตัวตน ตายแล้วก็หมดไปสิ้นไป กับสัสสตทิฏฐิ หรือความเห็นว่าทุกสิ่งเป็นสิ่งเที่ยงถาวร คือโลกนี้เที่ยงตลอด เช่น ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายหรือการเวียนว่ายตายเกิด แต่กลับเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแต่เหตุ เกิดแต่ปัจจัย เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี ซึ่งในสมัยพุทธกาล การไม่ยึดติดในสองส่วนดังกล่าวก็อยู่ในรูปของ “ธรรมจักร” หรือ “การหมุน” นั่นเอง โดยที่ภายในตัวมนุษย์ทุกคนก็จะมีผัสสะหรือการกระทบสองส่วนคือภายนอกและภายในเกิดขึ้นอยู่เสมอ ภายนอกก็ได้แก่การกระทบที่เกิดขึ้นที่อายตนะภายนอก อันได้แก่ตา หู จมูก ลิ้น กาย และสมอง ส่วนการกระทบภายในก็จะเกิดขึ้นที่ใจ ปรุงแต่งขึ้นเป็นเรื่องราวต่างๆ ถ้าหากบุคคลใดไม่ติดการกระทบ ไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายใน แล้วอาการหมุนของเขาก็จะเกิดขึ้นทันทีเรียกว่า “ธรรมจักร”
หลังเข้าถึงสภาวธรรม
พระอาจารย์รัตน์กล่าวว่าคำสอนของพระพุทธองค์อาจจะมีเรื่องละเอียดลึกซื้งมากมายกว่าที่ตนเองทราบ แต่เนื่องจากท่านหมดสิ้นความสงสัยแล้วหลังจากเข้าถึงสภาวธรรม ท่านก็ได้เปลี่ยนทัศนคติของตนเอง จากเดิมที่จะอุปสมบทเพียงเพื่อหนีชะตากรรมที่ชีปะขาวทำนายไว้ มาเป็นการมุ่งที่จะช่วยเหลือพระศาสนาช่วยเหลือชาวโลก เพราะตระหนักดีว่าอายุจริงๆ ของท่านนั้นหมดแล้วตามที่ชีปะขาวมาเตือนสติ แต่ด้วยอำนาจคุณธรรมของศาสนามาช่วยไว้ จึงทำให้ท่านมีชีวิตรอดมาได้ ดังนั้นชีวิตที่เหลือยู่ของท่านก็จะช่วยพระศาสนาไปจนถึงที่สุด เพื่อให้คนทั่วไปทราบว่าธรรมะคืออะไรต่อจากนั้นท่านจึงได้ตั้งต้นศึกษาแนวทางการสอนธรรมะสายต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทยโดยละเอียด ศึกษาภูมิธรรมของครูบาอาจารย์สายต่างๆ และการหลุดพ้นของท่านเหล่านั้น รวมทั้งอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ด้วยว่าเกิดขึ้นมาจากอะไร โดยใช้ “ญาณทัสสนะ”ของตนเอง พระอาจารย์รัตน์กล่าวว่า ญาณทัสสนะนี้เป็นความรู้ที่ไม่ต้องนึกคิดหรืออ่านจากที่ใดและจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ จากการที่บุคคลใดเมื่อเข้าถึงสภาวะเดิมของจิตไประยะหนึ่งแล้วเมื่อใดที่มี “เหตุ” ทำให้ต้องการทราบเรื่องใด ๆ ขึ้นก็จะมีการตั้งคำถาม ป้อนข้อมูลจนสามารถสืบสาวไปหาเหตุของสิ่งนั้นๆ ได้ในที่สุด
ต่อมาพระอาจารย์รัตน์ก็ได้มาพิจารณาดูว่าการสอนคนนั้นสอนไม่ยาก เพราะว่าทุกๆ คนหรือแม้แต่สัตว์ เช่น หมูหมากาไก่ ก็มีสภาวะ “ตถตา” หรือ “สิ่งนั้น” อยู่แล้ว เหมือนกันกับมี “แก้ว” อยู่ในตัวของเขาเอง หากแต่มีโมหะหรืออวิชชามาบดบังเอาไว้เท่านั้น เราจึงควรจะเป็นผู้แนะวิถีทางที่เขาจะเอาเศษขยะ สิ่งสกปรกต่างๆ ออกมา ให้เขาเห็นโทษเห็นภัยจากการเข้าไปยึดติดจนทำให้สภาวะตถตาดังกล่าวนี้เปลี่ยนแปรไป กระทั้งคนเราไม่เห็นสัจจะความจริงแต่อย่างไรก็ดี ท่านก็ยังไม่ได้เริ่มสอนการปฏิบัติธรรมให้แก่สาธุชน เนื่องจากเป็นการอุปสมบทระยะสั้นเฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น ต่อมาหลังจากออกพรรษาของปี พ.ศ. 2515 แล้ว พระอาจารย์รัตน์ก็ได้ลาสิกขาบทออกมารับราชการในตำแหน่งครูตามเดิมที่โรงเรียนจอมแจ้ง อำเภอแม่สะเรียง เพื่อชดใช้หนี้สินที่มีอยู่ก่อนอุปสมบท ช่วงปลายนั้นเองที่ท่านเริ่มฝึกกายทิพย์ด้วยตนเอง จากความรู้ที่ได้จากญาณทัสสนะ ขณะเดียวกันท่านก็เริ่มต้นรับประทานอาหารมังสวิรัติโดยใช้วิธี “เจเขี่ย” ในการรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวก่อนนานวันเข้าบิดามารดาและพี่น้องก็เริ่มสังเกตเห็นและทำอาหารมังสวิรัติให้แก่ท่าน
กลับสู่ร่มกาสาวพัสตร์
ประมาณปีเศษหลังจากลาสิกขาบทออกมารับราชการครูตามเดิมแล้ว หนี้สินของท่านก็หมดลง ท่านจึงลาออกจากราชการด้วยปณิธานอันแน่วแน่ที่จะช่วยผดุงพระศาสนาในเพศของบรรพชิตไปตลอดชีวิต ตามที่ได้เคยปวารณาตัวไว้ ครั้งแรกผู้บังคับบัญชาไม่ยอมให้ท่านลาออก แต่อนุญาตให้ลาป่วยเป็นเวลา 2 เดือน แต่เมื่อท่านยืนยันความตั้งใจเดิม ผู้บังคับบัญชาก็จำต้องอนุญาต การอุปสมบทใหม่ของท่านในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2517 นี้มีพระคูรอนุสรณ์ศาสนเกียรติ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้พำนักอยู่ ณ วัดจอมทอง ตำบลแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง ประมาณ 2 เดือนเศษ แล้วจึงไปอยู่วิเวกที่ดอยสันป่าคาในอำเภอแม่สะเรียงอีก 2 เดือนเศษ ก่อนจะย้ายกลับมาอยู่ที่วัดจอมแจ้งตามเดิม เพื่อมาจำพรรษาแรกของการอุปสมบทครั้งที่สองที่นี่
หลังการอุปสมบท พระอาจารย์รัตน์ก็ได้เริ่มฉันอาหารมังสวิรัติ แบบค่อยเป็นค่อยไปโดยใช้วิธี “เจเขี่ย” แรก ๆ ท่านพบความยากลำบากตามสมควร ปีเศษต่อมาญาติโยมก็เริ่มทราบและทำอาหารมังสวิรัติถวาย เช่น ถั่วลิสงทอด ถั่วเน่าทอด (อาหารพื้นบ้านภาคเหนือคล้ายกะปิ) ต้มผัก น้ำพริก ฯลฯ ทำให้ท่านมีความสะดวกมากขึ้น พระอาจารย์รัตน์ได้ให้เหตุผลของการฉันอาหารมังสวิรัติว่า เนื่องมาจากเมื่อปฏิบัติธรรมไประยะหนึ่งแล้วก็จะทราบอดีตของตนเองว่าได้เคยสร้างกรรมอันใดมา ขณะนี้ตัวท่านเองเป็นเช่นนี้ อนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร และกรรมอันใดที่ได้สร้างไว้แล้วจะส่งผลไปถึงแต่ไหน เพียงใด ฉะนั้น การฉันเนื้อสัตว์ก็เปรียบเสมือนการกัดกินเนื้อของตนเองในอดีตชาติ สัตว์นั้นมีความอาฆาตพยาบาทมาก ความอาฆาตพยาบาทดังกล่าวจะแทรกซึมอยู่ในเนื้อของเขา จึงฉันไม่ลง ฉันไม่ได้
ปัจจุบัน
ปัจจุบัน พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เป็นเจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งได้รับเลือกเป็น "ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ" ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน
พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้เผยแพร่คำสอนและการฝึกปฏิบัติมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2530 ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีการประชาสัมพันธ์มากนัก เนื่องจากบุคคลากรส่วนใหญ่ต่างเป็นผู้ปฏิบัติธรรม หมดความทะเยอทะยาน จึงให้แต่ละบุคคลได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้กันตามกระแสบุญ ในช่วงแรกๆเป็นการสอนฝึกปฏิบัติเพื่อมีจิตหลุดพ้น มีดวงตาเห็นธรรมเพียงอย่างเดียว ต่อมาได้มีการนำอุบายของวิปัสสนากรรมฐานมาดัดแปลง เพื่อแก้ไขปัญหาของสุขภาพร่างกายที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในธรรมชาติ โดยได้ประยุกต์หลักการของวิปัสสนากรรมฐานที่ศึกษา "การเคลื่อนที่ของจิต" เพื่อให้พ้นจากการครอบงำของขันธ์ 5 และประหารกิเลสของแต่ละบุคคล มาเป็น "การเคลื่อนที่ของ พลังจิต พลังงาน" เพื่อซ่อมแซมรักษาสิ่งที่หยาบกว่า คือ "กาย" ด้วยตนเอง
ผลงานด้านสมาธิบำบัด ได้มีวิวัฒนาการมาตามลำดับ ตั้งแต่เป็นทางเลือกของสุขภาพแบบองค์รวม และวิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัดในปัจจุบัน ซึ่งจัดว่าเป็นทางเลือกของสุขภาพที่ไม่ใช้ยา ได้แพร่หลายในบุคคลหลายกลุ่มด้วยกัน เช่น ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ มะเร็ง เอดส์ อัมพฤกษ์ อัมพาต และผู้ป่วยสารเสพติด ฯลฯ
เนื่องจากวัดดอยเกิ้ง ตั้งอยู่ที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน การเดินทางไปมาค่อนข้างลำบาก พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงใช้วิธีเดินทางออกไปเผยแพร่คำสอนนอกสถานที่ด้วยตนเอง ซึ่งได้เริ่มจัดขึ้นที่อาคารสัมมนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นประจำทุกเดือน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540-2545 และในปี พ.ศ.2542 ได้สร้างศูนย์ฝึกอบรม "สวนบูรณรักษ์ธรรม" ขึ้นที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และมีการจัดฝึกอบรมให้เป็นธรรมทาน ทุกๆ สัปดาห์ที่ 1 หรือ 2 ของแต่ละเดือน โดยให้ผู้สนใจหรือผู้ป่วยเข้าพักค้างคืน ครั้งละ 3 วัน 2 คืน รับได้ครั้งละไม่เกิน 50 คน สำหรับการฝึกอบรมในกรุงเทพฯ ยังคงมีอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยจัดปีละ 6 ครั้ง (เดือนเว้นเดือน) ที่อาคาร KU HOME มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์