สวัสดีครับเพื่อนๆชาวบ้านสวนพีระมิด ที่รัก
หลังจากที่พวกเราได้มาพบกันที่นี่ ผมก็มานั่งพินิจพิเคราะห์ดู ก็มาได้ความคิดว่า ทำไมหนอ ?? เราจึงได้มาพบกันที่นี่ด้วยเล่า เพราะต่างคนต่างก็อยู่คนละทิศคนละทาง ห่างไกลกันคนละภาคของประเทศ มีทั้งเหนือ กลาง ตะวันออก ตะวันตก และภาคใต้ เมื่อมาพบกันแล้ว ก็มีความรู้สึกคุ้นๆ ว่า “เราเป็นพวกเดียวกันนะ” ในส่วนตัวผมรู้สึกอย่างนั้น แต่ใครจะนึกเหมือนผมหรือไม่นั้น ผมไม่อาจล่วงรู้ได้ เพราะผมเองก็ยังได้ “มโนมยิทธิ” เหมือนกับคนอื่นๆที่อยากจะได้ (อันนี้ต้องโทษตัวเองว่ายังขาดการอบรมจิตอีกมาก)
ต่อข้อความข้างบน... ผมจึงเกิดแรงบันดาลใจและได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับพวกเราขึ้นมา 1 เพลง มีเนื้อหาในบทเพลงดังนี้
เพลง บ้านเก่าหลังใหม่
1. สบตา สบายใจ แม้ไม่เคยเจอ
ก่อนนั้น ฉันเธอ ไปอยู่ไหนมา
และแล้ว...ถึงวัน ถึงกาลเวลา
จึงได้มา เจอะกัน วันนี้ไงเล่า
2. ได้พบ สุขใจ ว่าเคยเห็นกัน
ดังสาย สัมพันธ์ อันเนิ่นนานเนาว์
คุ้นๆ สายตา คนหน้าเก่าๆ
ของพวกเรา มารวมกัน ตื่นจากฝันเสียที
3. วันนัดของพวกเราเชื้อสายเดียวกัน
ที่แยกย้าย หายกัน ไปหลายๆที่
พบแล้ว ที่เรานัด จากที่พลัดกันไปหลายพันปี
มาวันนี้ ได้พบกันตามคำมั่นสัญญา
4. บัดนี้ ถึงวัน ตื่นจากฝันแสนเศร้า
บาปเคราะห์ ทำให้เรา พบกันได้หนา
มารวมกัน โลกฝัน ข้ามวันเวลา
พวกเรามา ด้วยศรัทธา..สร้างพีระมิด
5 พวกเรา จงภูมิใจ ที่ไม่เสียชาติเกิด
ได้พบ ต้นกำเนิด พระศาสนา
ได้รับใช้ แผ่นดิน และพระศาสดา
ร่วมสร้างสรรค์ ศรัทธา แก่คนทั้งโลก
ถ้าอ่านเนื้อหาดูก็อาจจะยังไม่รู้ว่ามีความไพเราะหรือไม่อย่างไร ผมจึงไปเข้าห้องบันทึกเสียง และกำลังทำดนตรีอยู่ขณะนี้ เสร็จเมื่อไรจะเอามาให้ฟังกัน (ต้องให้ครบ 1 ชุดก่อนนะจ๊ะ)
และผมก็ยังมาคิดอีกทีว่า ที่เราได้มาพบกันที่นี่น่ะ มันมีสาเหตุเดียวกันทั้งนั้นเลย คือเป็นโรคต่างๆ ที่เพียบและแย่ๆ กันมาทั้งนั้น ไปโรงพยาบาลมาหลายที่แล้วก็ไม่หาย เพียงแค่ทุเลาเบาบางลงไปเท่านั้น พอหมดฤทธิ์ยาก็เป็นเหมือนเดิม โรคที่เป็นนี้ เรียกว่า “โรคเวรโรคกรรม” ถ้าอยากจะหายก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ “กรรม” ที่พวกเราได้สร้างเอาไว้ อันนี้จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะเราได้สร้างกันไว้เองตั้งแต่อดีต มันเป็นหลักธรรมดาที่เกิดอยู่แล้วบนโลกนี้ คือ ทำไรกับใคร ก็ต้องได้ผลตอบแทนอย่างนั้น ซึ่งก็คือกฎแห่งกรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ แล้วนำมาบอกกับเรานั่นเอง...
แต่เราก็หาเชื่อฟังไม่ กับกระทำลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อทำมาก กรรมก็ถ่ายทอดออกมามาก ดังพุทธพจน์ที่ว่า “เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์” อันนี้เป็นประโยคที่กินใจและน่าคิดมาก ถ้าเราไม่มีกรรมมาเป็นเผ่าพันธุ์กับเรา เราก็คงไม่ต้องเกิดมาเพื่อใช้กรรมซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ของเราโดยตัวเราไปเอามาผูกติดกับวิญญาณของเราแบบ “ไปไหนไปด้วย” แน่ๆ ถ้าเราไม่มีกรรม เราก็ไม่รู้จะเกิดมาใช้หนี้กรรมกับใคร นั่นคือหลุดพ้นจากการเกิด อย่างนี้ไม่รู้ว่าพอจะเข้าใจถูกต้องไหม
ประการสำคัญ อันที่จริงสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้มี 2 อย่างคือ
1. แบบมีชีวิต ไม่มีวิญญาณ คือ ต้นไม้หรือพืชต่างๆ
2. แบบมีชีวิต และมีจิตวิญญาณด้วย คือ คนและสัตว์ทุกชนิด
พวกเราเป็นพวกที่ 2 คือมีจิตวิญาณ และเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับสูง คือ เป็นคน ที่มีทั้งความคิดดีๆ มี
ปัญญา มีคุณธรรม มีบุญเยอะ รวมทั้งมีสิ่งที่เป็นอวิชชาติดตัวมาด้วยเช่นกัน นั่นคือพวกกิเลสทั้งหลาย อันได้แก่ความอยาก ความไม่อยาก ความโลภ โกรธ หลง พวกนี้แหละเป็นตัวทำให้เรามีความ “เป็นคน” หรือไม่ เมื่อไรที่การกระทำของเราใกล้กับสัตว์ เมื่อนั้นเราก็ยังไม่ดีกว่าสัตว์สักเท่าไร เช่น
1. สัตว์มีการเข่นฆ่ากัน เพื่อเอาชีวิตสัตว์อื่นเป็นอาหารหรือต่อสู้กัน ถ้าเป็นคนก็ผิดศีลข้อ 1
2. สัตว์มีการแอบเอาอาหารของสัตว์อื่นไปโดยไม่ต้องออกแรงเที่ยวหา ถ้าเป็นคนก็ผิดศีลข้อ 2
3. สัตว์มีการผสมพันธุ์กันไม่เลือกว่าพ่อ แม่ พี่หรือน้อง (บางคนก็ทำอย่างนี้) ถ้าเป็นคนก็ผิดศีลข้อ 3
4. สัตว์ไม่มีการโกหก เพราะมันพูดไม่ได้ (แต่อาจมีการลวงกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้) อันนี้น่าจะดีกว่าคน
5. สัตว์ไม่มีการดื่มของเมา(โดยตั้งใจ) และไม่มีการใช้ยาเสพติด อันนี้ก็น่าจะดีกว่าคน
6. ฯลฯ มีอีกมากที่จะเปรียบเทียบกันระหว่างคนและสัตว์
เมื่อไรที่เรายกระดับคุณธรรมสูงขึ้นมากๆได้ เมื่อนั้น เราจะห่างขึ้นจากชั้นของสัตว์มากๆตามไปด้วย แล้วในที่สุดเราก็จะเจริญรอยตามพระบรมศาสดาของเราได้ อย่างน้อยให้ได้พบพระศรีอาริย์ก็ยังดี (หวังไว้ห่างๆ)
ลองคิดดูง่ายๆ นะพี่น้อง .......ว่า ทำไมคนเราจึงไม่เท่ากันในทุกๆ ทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความยากจนหรือร่ำรวย ความมีโชค หรืออับโชค รูปงามหรือขี้เหร่ โรคภัยไข้เจ็บหรือแข็งแรงมีสุขภาพดี มีชาติกระกูลสูงหรือต้อยต่ำ ฯลฯ (อีกมาก)
ผมอยากจะบอกว่า เราไม่ต้องมาคิดให้เสียเวลาหรอกว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ให้เชื่อคำของพระพุทธองค์เพียงอย่างเดียวว่า “กรรมย่อมจำแนกสัตว์” เท่านั้นพอ คือ.. มันเป็นเพราะการกระทำของเราตั้งแต่อดีตชาตินั่นเอง ดังพุทธภาษิตที่ว่า “ทำดีย่อมต้องได้ดี ทำชั่ว ย่อมต้องได้ชั่ว” เสมอ มันเป็นหลักง่ายๆ ที่ไม่น่าจะทำยาก แต่..ตรงข้าม มันเป็นสิ่งที่ทำยากที่สุด ไม่งั้นเราคงไม่ต้องมาเกิดกันหรอก.. จริงไหม?
เอาละเมื่อรู้เคล็ดลับง่ายๆ นี้แล้ว พวกเรามีโอกาสได้มาพบของดีมากกว่าคนอื่นอีกเยอะแยะที่เขาไม่ได้มา (นี่ก็เป็นเพราะกรรมดีของพวกเราที่ได้ร่วมสร้างกันไว้..อีกนั่นแหละ..) เราจึงควรปฏิบัติตามที่อาจารย์อุบลท่านสอนหรือแนะนำเรื่องการไม่ทำผิดศีล 5 ข้อซึ่งเราจะได้ยินเป็นประจำขณะอยู่ที่บ้านสวนพีระมิด ศีลทั้ง 5 ข้อนี่แหละ เป็นตัวจำแนกระดับคุณภาพและกำหนดวิถีชีวิตของคน ว่าในอนาคต จะต้องเดินไปในทิศทางใด จะได้รับ ”ผลแห่งการกระทำ” ต่อไปอย่างไร
จะเห็นได้ว่า แค่ศีลทั้ง 5 ข้อที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดมานี้ ก็เพียงพอจะยกให้พระพุทธองค์เป็นสุดยอดอัจฉริยะของโลกได้ เพราะเนื้อหาของทั้ง 5 ข้อนั้น ช่วย “ดัก” และ “ป้องกัน” การกระทำชั่วของคนเราได้ทั้งหมดเลย ถ้าเราปฏิบัติตามได้แล้วละก็พี่น้องเอ๋ย...อะไรจะเกิดขึ้น ??
ดังนั้น เราคิดกันได้หรือยังว่า..ชีวิตของเราที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ มันมีสาเหตุมาจากอะไร ???
สวัสดี
อ.ฉลอง จันทร์ทอง