ศิริพร โฉมจันทร์
ข้าพเจ้าขอสารภาพบาปทั้งหมดที่ได้กระทำมาในชีวิตดังนี้
การกระทำด้วยวาจา
1. เถียงพ่อแม่ ทำให้แม่ร้องไห้ เสียใจ ด้วยคำพูดของเรา
2. โกหก หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานว่ายังไม่มีลูก เพื่อผลในการได้เข้าทำงาน
3. นินทา ว่าร้ายพูดอื่น ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยว่าอะไรเรา หรือบางครั้งก็ไม่เคยรู้จักกันเลย
4. พูดส่อเสียด กระทบกระทั่ง ให้เขาเสียใจ เป็นทุกข์
5. ลบหลู่ มารดา บิดา ผู้มีพระคุณ เพียงเพราะเขามีความรู้น้อยกว่าเรา คิดว่าเราเก่งกว่า ฉลาดกว่า ด้วยคำพูดที่เชือดเฉือนใจ
6. ด่าเพื่อน พูดโกหก หยาบคาย เพ้อเจ้อ นินทาคนรอบข้าง เพื่อร่วมงาน
7. พูดหลอกลวง ให้คล้อยตาม ให้เขาเชื่อใจ เพื่อที่จะได้ทรัพย์สินของเขามาเป็นของตน
8. ปรามาสพระสงฆ์ ว่าหลอกลวง ว่าไม่ดี และชักชวนให้ผู้อื่นเห็นตามเรา
9. โกหก หลอกลวงผู้ชาย คบทีละหลายคน คบเผื่อเลือก เห็นว่าเป็นเรื่องสนุก
10. ใส่ร้าย ป้ายสีผู้อื่น โยนความผิดให้เขา ทั้งๆที่เขาไมได้ผิด หรือไม่ได้เป็นอย่างที่เราพูด
11. พูดจาดูถูก ดูแคลน มารดา อวดรู้ อวดฉลาด คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าใคร
12. วิพาก วิจารณ์ สถาบันพระมหากษัตรืย์ และราชวงศ์
การกระทำทางกาย
1. ทะเลาะกับแม่ และขว้างปาสิ่งของเข้าใส่แม่ เพื่อความสะใจ
2. ทำแท้ง 1 ครั้ง และมีส่วนรู้เห็นในการทำแท้ง
3. ตีเด็ก ตบเด็ก เตะเด็ก ตบตีกับเพื่อน เพียงเพราะความไม่ชอบ ไม่พอใจ
4. ประกอบอาชีพผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ให้เช่าบ้านเปิดบ่อนการพนัน ทำตู้ม้า ตู้ผลไม้ รับหวยใต้ดิน เล่นการพนันตู้ม้า เล่นหวย
5. ขายเหล้า ขายบุหรี่ เบียร์ ของมึนเมาต่างๆ
6. ทำคุณไสย โดยการเอาของไม่ดีไปโรยใส่ในบ้านเขาเพราะคิดว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวเราแตกแยก
7. ทะเลาะ ทำร้าย ตบ ตี น้าสาว
8. ตีหมา ตีแมว ฆ่าสัตว์เพื่อความสนุก ทั้งเจตนา และไม่เจตนา จนเขาตาย
9. ลักขโมย เงิน ทรัพย์สินของแม่ ยาย น้า เพื่อน
10. ทุจริตในหน้าที่ แคชเชียร์ ยักยอกเงินของบริษัท เมื่อมีผู้ซื้อสินค้าไม่ให้ใบเสร็จกับเขา ไม่เอาเงินเข้าเครื่องแต่ใส่กระเป๋าตัวเองแทน
11. ซื้อรถ โดยเป็นชื่อของตน (แต่ไม่เคยได้ใช้) เมือไม่สามารถส่งค่างวดได้ เขามายึดไปประมูล แต่ก็ยังคงมีส่วนต่างเกือบ 100,000 บาท ซึ่งเขาทวงถามให้ชำระ แต่เราไม่มีปัญญา จึงต้องหนี ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ติดต่อกลับ แต่ในใจคิดอยู่เสมอว่าถ้าเรามีรายได้มากกว่าทุกวันนี้เมื่อไร เราจะขอชดใช้แบบผ่อนส่งทันที
12. เงินที่ญาติให้ยืมเมื่อครั้งชีวิตต่ำสุด จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถใช้คืนเขาได้ เพราะรายจ่ายเต็มหมดทุกทาง แต่ในใจระลึกถึงบุญคุณ และต้องการตอบแทนบุญคุณนี้อยู่ตลอดเวลา
13. ทรยศ หักหลัง เจ้านาย ทั้งที่เขามีบุญคุณ ให้งาน ให้เงิน สร้างอาชีพให้เราโดยการร้องเรียนหน่วยงานราชการให้ตรวจสอบเขา ทำให้เขาเดือดร้อน
การกระทำทางใจ
1. คิดตำหนิ ดูถูก ดูแคลน มารดา ผู้มีพระคุณ
2. คิดตำหนิพระสงฆ์ ปรามาสเบื้องสูง
3. อิจฉาริษยาเมื่อเห็นเขาดีกว่า
4. คิดอาฆาต พยาบาท จองเวร
5. คิดอคติ ดูถูกคน เพียงเพราะเห็นเขาจากภายนอก
กรรมที่กระทำกับสัตว์
1. ตีหมา ตีแมว ตีหนู ตียุง ตะขาบ กิ้งกือ ฯลฯ เพราะความรำคาญ ความกลัว
2. ทำลูกแมวตาย โดยหวังดีเอามันไปเล่นกับน้า แต่น้าไม่ชอบ จับตัวมันได้แล้วขว้างมันใส่กำแพงจนขาดใจตาย
3. เปิดประตูหนีบ ลูกแมวเพิ่งคลอดตาย เปิดประตูทับจิ้งจกตาย
4. ช่วยชีวิตลูกนก ที่ถูกแมวจับมากิน โดยนำมาป้อนอาหาร แต่ทำไม่ถูกวิธีจนมันตาย
5. ขับรถชนหมา แมว ฯลฯ โดยไม่เจตนา
6. ขับรถทับกบ คางคก ฯลฯ โดยไม่เจตนา
7. เลี้ยงหมาแล้ว ไม่สามารถเลี้ยงมันต่อได้ เอาไปให้คนอื่นเลี้ยงแทน (รู้สึกผิดที่เอามันไปให้คนอื่นเลี้ยง)
อุปสรรค โรคภัย ความทุกข์กายทุกข์ใจในปัจจุบัน
1. ฐานะทางการเงินฝืดเคือง เงินเดือนไม่พอใช้ ทั้งๆที่ไม่ฟุ่มเฟือย ประหยัด สุจริต ไม่มีปัญญาดูแลพ่อและแม่ ต้องการออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในบ้านเอง ซึ่งที่ผ่านมาดิฉันไม่มีกำลังที่จะดูแลใครได้เลย แม้แต่ลูกตัวเอง เพราะเงินเดือนที่น้อยนิดในแต่ละเดือนก็หมดไปกับหนี้สินที่ต้องจ่ายประจำทุกเดือน ไม่อยากหนี ไม่อยากโกงเขาเพราะเราทุกข์มากหากต้องโกงเงินใคร ดังนั้น ทุกวันนี้ แม่จึงต้องหารายได้เพื่อดูแลทุกอย่างในบ้านด้วยการขาย เหล้า บุหรี่ เบียร์ ตู้ม้า(ได้เปอร์เซ็นต์จากยอดที่เจ้าของตู้มาเปิดตู้) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน โดยที่เราไม่มีกำลังช่วยเหลือตรงนี้เลย จึงเป็นเหตุให้เราพยายามหาเงินให้มากขึ้นเพื่อแม่จะได้ไม่ต้องขายสิ่งเหล่านี้ และแม่เองก็เป็นมะเร็งตับ ดิฉันจึงไม่อยากให้ท่านทำตรงนี้อีกเพื่อลดบาปกรรมไว้แค่นี้ ยิ่งได้มาเข้าค่ายครั้งที่ 5 นี้ ก็ได้ทราบวิธีใช้คาถาเงินล้านให้ได้ผล ว่าต้อง ระงับความโกรธ ต้องมีทาน ศีล ภาวนาครบ ยิ่งทำให้ดิฉันเป็นทุกข์หนัก ในแต่ละข้อเราทำได้ แต่ในข้อที่ว่าด้วยการรักษาศีล ดิฉันคงจะไม่มีทางทำได้บริสุทธิ์ เพราะยังคงต้องช่วยเหลือที่บ้านค้าขายตรงนี้ เพราะไม่มีใครจริงๆ คุณแม่ก็ป่วย ทำงานหนักไม่ได้ ดิฉันจึงหลีกเลี่ยงตรงนี้ไม่ได้เลย
2. ปัจจุบันดิฉันเป็นโรคผิวหนังที่เป็นอยู่ ตั้งแต่หัวจรดเท้า มีอาการเป็นตุ่ม ผื่น คัน รอยดำตามร่างกาย ที่ศีรษะก็คันจนเกาเป็นรังแกร่วงดูน่ารังเกียจ อยากหายแบบถาวร
3. อยากให้คุณแม่หายจากโรคตับ ก่อนหน้านี้เป็นโรคมะเร็งตับ แต่ได้ทำการรักษาจนอาการดีขึ้นแล้ว แต่ในส่วนของตับที่เหลือก็เป็นตับแข็ง ทำให้มีทุกขเวทนาเป็นระยะจนบางครั้งไม่สามารถประกอบอาชีพได้
4. ความทุกข์อีกข้อที่เป็นผลมาจากความขัดสนในเรื่องเงินคือ ในใจนั้น อยากทำบุญทุกบุญ ทำทานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ อยากไปร่วมบุญตามจังหวัด หรือสถานที่ต่างๆ อยากพาพ่อแม่ ญาติพี่น้องไปก็ได้แต่คิด ไม่มีกำลังจะหาเงินจ้างรถเขาไป กำลังทรัพย์นั้นสวนทางกับความตั้งใจตลอด จนบางครั้งเกิดความทุกข์ และคับแค้นใจเหลือเกิน
สิ่งที่ปรารถนา คำอธิษฐาน
1. ขอให้มีทรัพย์สิน เงินทองใช้สอยอย่าได้หมด อย่าได้ขัดสน
2. ขอให้แม่ เลิกขายเหล้า บุหรี่ การพนัน และเลิกรับหวย
3. หากข้าพเจ้าคิดจะทำบุญ ทาน กุศลใดๆ ก็ตาม ขอให้ได้มี ได้ทำ ได้รับความสะดวกสบาย อย่าได้มีอุปสรรคในทุกๆด้าน
4. อยากมีเงินก้อนเพื่อทำอาชีพที่พอเพียง มั่นคงเป็นของตัวเอง
5. อยากให้คุณแม่หายจากโรคมะเร็งตับ โรคตับ โดยเด็ดขาด (เพราะยังไม่แน่ใจในการรักษาของหมอ)
6. อยากให้ลูกได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสัตยาไส (แต่ยังมองไม่เห็นลู่ทางว่าจะหาเงินทางใดมาเป็นค่าเรียน)
7. อยากให้พ่อของลูก (อดีตสามี) มีดวงตาเห็นธรรม รู้ผิดชอบชั่วดี และช่วยเหลือดิฉันในเรื่องการเงินบ้าง
8. ขอให้ดิฉันได้ฝึกมโนมยิทธิได้เป็นผลสำเร็จ และพบพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
คำขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และความรู้สึกกับบ้านสวนพีระมิด
ดิฉันศิริพร โฉมจันทร์ ตุ้ย หมายเลข 9 ได้ไปร่วมเข้าค่ายครั้งที่ 5 ยกเสาเอกสร้างวิหารพระชำระหนี้สงฆ์ ในอารมณ์แรกที่ได้เห็นหัวข้อการเข้าค่าย มีความยินดีและบอกกับตัวเองว่าต้องไปให้ได้ เราจะพลาดไม่ได้
ทุกครั้งที่จะไปบ้านสวนฯ ก่อนวันไป เราจะมีความรู้สึกว่าต้องทำตัวให้ดี รักษาศีลให้ดี เหมือนเป็นการวอร์มร่างกายก่อนไปพบสิ่งศํกดื์สิทธิ์ที่บ้านสวน เมื่อไปถึงก็ไม่ผิดหวัง รู้สึกสุขใจ สบายใจ ปลาบปลื้ม อย่างไม่มีอะไรจะมาเทียบเท่า
ยิ่งเวลาได้ฟังอาจารย์อุบลพูดเรื่องราวคำสวนต่างๆ ให้ฟัง ก็มีแต่ความสุขใจ เคลิบเคลิ้ม ฟังได้เป็นหลายๆ ชั่วโมงไม่มีเบื่อ
มานั่งนึกๆ ไปว่า ทำไมเราถึงนั่งฟังอยู่ได้ตั้งหลายชั่วโมง ทั้งๆ ที่อาจารย์ ก็ไม่ได้มีการแสดงอะไรมาคั่นเหมือนเวลาเราไปดูคอนเสิร์ตเลยสักนิด เรากลับนั่งฟังอาจารย์ได้อย่างเป็นวรรคเป็นเวร แถมพออาจารย์ ให้พัก ยังไม่อยากจะพักอีกแน่ะ
อยากจะฟังเรื่องราวต่างๆ แบบไม่รู้เบื่อ ในการไปบ้านสวนทุกๆ ครั้ง ตัวตุ้ยเองก็ได้รับกำลังใจกลับมาทุกครั้ง เป็นกำลังใจที่ทำให้ต่อสู้ในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะความโกรธ ความอาฆาต ความอิจฉาริษยา ความอยากได้ อยากมีต่างๆ ถึงแม้จะยังทำไม่ได้
แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน มีความยับยั้งช่างใจมากขึ้น และสิ่งที่สะดุดในคำพูดของอ.อุบล ที่พอจะจับใจความได้ก็คือ อาจารย์ บอกว่า ที่พวกเราบอกว่า เคารพ บูชาและเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่การแสดงความเคารพนั้น เราให้ทาน
เรารักษาศีล และภาวนา กันหรือยัง มาถึงตรงนี้ จึงฉุกคิดได้ว่า ทุกวันนี้ ปากเราก็บอกว่าเชื่อ ในคำสอนของพระพุทธองค์ แต่การกระทำนั้น ยังห่างไกลนัก ดังนั้น ก่อนที่เราจะตอบว่าเรารัก เราเคารพบูชาพระพุทธเจ้า ให้ถามตัวเองก่อนว่าเราทำอย่างที่ท่านสั่งสอนไว้หรือไม่
และสิ่งที่รู้สึกได้เมื่อมาที่นี่คือ ทุกคนเหมือนเป็นญาติพี่น้องกันมาก่อน เวลาเห็นพวกเราช่วยกันทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม มันตื้นตันใจ สุขใจ และไม่ว่าเราจะเคยชั่วหรือเคยเลว มาจากไหนก็ตาม เราจะต้องมาเป็นคนดีที่นี่ให้ได้ ทุกครั้งที่อ.อุบลบอกมาว่าพระพุทธองค์ หรือ หลวงพ่อฯ
บอกผ่านมาเรื่องนั้น เรื่องนี้ ตัวตุ้ยเองยิ่งรู้สึกได้ถึงความเมตตาที่ท่านมีให้กับเรา เราเป็นเป็นแค่คนชั่วช้า สารเลว คนนึง ทำไมท่านยังทรงเมตตา ยังให้โอกาศเรา เมื่อครั้งเข้าค่ายครั้งที่ 2 พระพุทธองค์ก็บอกผ่านอ.อุบลว่าให้พวกเราไปรับน้ำพระพุทธมนต์ ตุ้ยเองก็ได้วิ่งออกไปรับ
กับเขาด้วยเหมือนกัน ในครั้งนั้นรู้สึกได้ถึงความเมตตาที่ท่านมีให้ลูกหลาน คิดเอาเองว่า ฝนนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้พวกเราเป็นสิ่งของที่เป็นรูปธรรม ที่มนุษย์โง่ๆ อย่างเราจะจับต้องได้ ที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ คิดได้อย่างนี้แล้ว ก็มีแต่ความตื้นตัน ขนลุก น้ำตาคลอ
ก็ได้แต่สัญญากับตัวเองว่าเราจะต้องทดแทนพระคุณของท่านด้วยการทำดี ทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ และหลวงพ่อให้ได้ ถึงแม้จะยากเย็นเพียงใด ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด
ความรู้สึกกับอาจารย์อุบล เห็นอาจารย์ครั้งแรกจากการเข้าค่าย ครั้งที่ 2 หนึความจน อ.ทักคำแรกว่า "เราเคยเจอกันหรือยัง" ตุ้ยก็ตอบอาจารย์ไปว่า ยังค่ะ แค่คำนี้คำเดียวที่อาจารย์ถาม ตุ้ยจะจดจำและเก็บเอาไว้ตลอด เพราะทุกครั้งที่อาจารย์เดินมาใกล้ๆ หรือที่ตรงไหนมีอาจารย์อยู่
ตุ้ยจะไม่กล้าเดินเข้าไปตรงนั้นเลย เหตุผลก็คือ กลัว และอายอาจารย์ อายความชั่วของตัวเองที่ทำมา กลัวตาอาจารย์ (ทั้งๆ ที่อาจารย์ก็ไม่ได้มาทำอะไรเราสักหน่อย) ก็ตอบตัวเองได้ว่า เราอายความชั่วของเราเอง แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่า ในการเข้าค่ายครั้งที่ 5 นี้ เราจะสารภาพ
ความชั่วให้หมดทุกอย่าง ลูกอยากหมดเวร หมดกรรมแล้ว เจ้าค่ะ ลูกจะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดในครั้งนี้ เท่านั้นแหล่ะ ก็ได้กล้าที่แอบมองหน้าอาจารย์บ้าง แต่ก็ยังไม่หายกลัวอาจารย์อยู่ดี ได้ถามคำถามกับอาจารย์ เรื่องทำอย่างไรเราถึงจะระงับความโกรธได้ เวลาอาจารย์ตอบมา มันโดนใจ แทงใจ
จนน้ำตาคลอ คำพูดที่อาจารย์พูดมาว่า เราต้องใช้ปัญญา เพราะคนทุกคนไม่เหมือนกัน เขาได้แค่นี้ เราจะทำอย่างไรเขาก็รับได้เท่านี้ ให้มองเขาเป็นสิ่งที่เข้ามาทดสอบจิตใจเรานะลูก สิ่งที่อาจารย์ตอบมา ตุ้ยซาบซึ้งมาก ความรู้สึกเหมือน หลวงพ่อฯ มาพูด มาสอน (คิดเอาเองตามรู้สึกนะคะ)
น้ำตามันเลยพาลจะไหล รับได้ถึงความเมตตาที่ท่านมีให้ และอาจารย์ยังสอนให้คิดบวก อันนี้ได้นำกลับมาใช้แล้วค่ะ
สิ่งที่ได้รับในการเข้าค่ายครั้งนี้ (และทุกๆครั้ง) คือ ได้ความสุขใจ สบายใจ กำลังใจ ได้เห็นเพื่อนๆ พี่ๆ มีความสามัคคีกัน ทำบุญด้วยแรงกาย อันบริสุทธ์ ที่นี่เป็นที่ ที่แม้เราไม่รวย มีเงินน้อยเราก็ร่วมทำบุญได้ คนที่มาไม่ได้นับถือกันที่กำลังเงิน หรือยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ว่าคุณจะมีหน้าที่การงานยิ่งใหญ่เพียงใด
เมื่อคุณมาที่นี่ ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ซึ่งรู้สึกได้ ทุกคนใช้ความจริงต่อกัน ไม่โกหกหลอกลวง และเป็นที่ ที่เรากล้าพูดความชั่ว ความเลวของเราเองได้อย่างสบายใจที่สุด ขอบคุณบ้านสวนพีระมิด องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่บ้านสวนพีระมิดค่ะ
อยากขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่บ้านสวนพีระมิดดังนี้
1. ทำให้ดิฉันเกิดสภาพคล่องในเรื่องของหน้าที่การงาน คือเรามีหน้าที่เป็นเซล์ จากที่เมื่อก่อนขายก็ยาก บางครั้งทั้งสัปดาห์ ยังขายไม่ได้เลย แต่หลังจากกลับมาจากเข้าค่ายบ้านสวนแล้ว ได้พบปาฏิหารย์มากมาย
คือ ขายได้เกือบทุกวัน และจากที่เมื่อก่อนลูกค้ามักชำระเงินเป็นรับเช็ค ปัจจุบันก็จ่ายสดมากขึ้น แบบไม่น่าเชื่อ
2. ชีวิตดีขึ้น จากที่เมื่อก่อนพยายามเลิกเล่นการพนันหลายครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้สักที จิตใจหวั่นไหวตลอด แต่เมื่อรู้จักกับบ้านสวนพีระมิด ทำให้เลิกการพนันได้อย่างสิ้นเชิง และเด็ดขาด
3. รู้สึกว่าตัวเราเองมีความสุขใจมากขึ้น ไม่เก็บเรื่องราวในอดีตมาคิดทำให้เกิดทุกข์ทรมาน ไม่ผูกพยาบาทใคร
4. เพื่อนร่วมงาน มีความเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น
5. คิด และ ตั้งใจที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยอยู่ในหัวสมอง
6. การพูดจาของเราก็เปลี่ยนไป มักจะพูดเป็นธรรมะ เป็นข้อคิดให้กับผู้อื่นเสมอ จากเมื่อก่อนไม่มี
7. ทำให้ชีวิตของดิฉันในทุกๆวันคิดแต่จะสร้างบุญกุศล หากมีโอกาศและกำลัง จะพยายามไม่ให้ตกบุญเลย จากที่เมื่อก่อนไม่เคยใส่ใจ
8. จากเมื่อก่อนที่คิดว่าชีวิตคงอยู่คนเดียวไม่ได้ถ้าไม่มีใคร แต่วันนี้เรากลับรู้สึกว่า การได้อยู่คนเดียวคือความสุขแท้จริง ที่เราไม่ต้องมีห่วง ไม่ต้องรักใคร ให้เกิดความผูกพัน หรือการพลัดพราก ซึ่งล้วนเป็นเหตุให้ทุกข์ทั้งสิ้น
9. จากที่เมื่อก่อนเวลาว่าง หรือ ก่อนจะนอน ต้องฟังเพลงเพราะๆ หรือครุ่นคิดถึงชีวิตเรากับสามีว่าทำไมต้องเลิกกัน แต่เดี๋ยวนี้กลับคิดแต่เพียงว่า เราต้องหาธรรมะฟังให้ได้ทุกขณะ ก่อนจะนอนหลับไป ก็ต้องพยายามภาวนาบทใดบทหนึ่งเป็นการไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
10.รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง บนความเป็นจริง ไม่ฟุ้งเฟ้อ
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ดิฉันรู้สึกดีกับตัวเองมากๆ ถึงแม้ว่ายังไม่ดีที่สุด แต่ก็นับว่าในชีวิตนี้ ไม่คิดว่าคนที่ชั่ว ที่เลวที่สุดอย่างเราจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ขอบคุณ และสำนึกในพระกรุณา พระเมตตาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบอกผ่านมายังอาจารย์อุบล ขอบคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านสวนพีระมิด
ไม่มีคำพูดใดจะอธิบายได้หมด แต่การกระทำเท่านั้นจะพิสูจน์คำพูดทั้งหมดได้ และขอขอบคุณ คุณปุ้มที่นำเรื่องนี้ลงเป็นธรรมทานให้ดิฉันด้วยนะคะ ขออนุโมทนาบุญกับคุณปุ้ม ให้หายจากโรคภัยและความเจ็บป่วยทุกประการค่ะศิริพร โฉมจันทร์ (ตุ้ย)