ขอกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านท้าวเวสสุวรรณ สิ่งศักดิ์ทุกพระองค์ที่บ้านสวนพีระมิด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และท่านอาจารย์อุบล
ดิฉัน บุษกร วงศ์สุวรรณ ได้ไปร่วมบุญที่บ้านสวนพีระมิดกับคุณแม่สวรรค์ วงศ์สุวรรณและสามี(คุณต้อมหรือรัตนมงคล เอี่ยมสอาด) เมื่อวันเสาร์ที่ 14 พ.ค.54 ซึ่งคุณต้อมก็มาได้ยศร้อยตรีที่บ้านสวนฯ หลังจากที่เป็นจ่าประมาณ 20ปี แต่วันนี้จะขอเขียนเรื่องของคุณแม่เพื่อจะให้เป็นธรรมทานตามที่รับปากกับอาจารย์ไว้ ค่ะ
การเขียนครั้งนี้ได้เขียนได้เขียนตามภูมิปัญญาของดิฉัน หากผิดพลาดประการใดขอกราบขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านท้าวเวสสุวรรณ สิ่งศักดิ์ทุกพระองค์ที่บ้านสวนพีระมิด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และท่านอาจารย์อุบล ณ ที่นี้ด้วย
ขอเริ่มเรื่องเลยนะคะ คุณแม่มักบ่นให้ฟังเสมอว่าเวียนหัว ปวดหัวแทบระเบิด และในบางครั้งก็มีอาเจียนผสมโรงด้วย รวมทั้งปวดขา(ปัจจุบันงอเข่านั่งพับเพียบไม่ได้) ปวดหลัง ซึ่งดิฉันได้ฟังมานานน่าจะเป็นเวลามามากกว่า 30ปี ขณะนี้คุณแม่อายุ 71 ปี คุณแม่คิดว่าคงเป็นอะไรที่สมองหรือเส้นเลือดในสมอง เช่นเนื้องอก เคยไปรพ.สยามแถวลาดพร้าว เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วเพื่อขอตรวจคอมพิวเตอร์ที่สมอง แต่ปรากฏว่าเครื่องเสียก็เลยไม่ได้ตรวจ และคุณแม่ก็อยู่แบบปวดบ้าง บรรเทาบ้าง มาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันคุณแม่รักษาอาการป่วยต่างๆที่รพ.รามาธิบดี ดิฉันได้ฟังปัญหาสุขภาพของคุณแม่จนคิดว่าเป็นเรื่องปกติของท่านแล้วค่ะ คุณยายข้างบ้านที่ได้ฟังก็ยังคิดเหมือนดิฉันเลย เหมือนกับว่าบ่นไปอย่างนั้นเอง เพราะว่าท่านยังฝืนทำโน่นทำนี่ได้ มีความอดทนสูงมาก นอกจากนี้คุณแม่ยังเป็นสารพัดช่างในบ้านจนดิฉันคิดว่า ชาติก่อนคุณแม่ต้องเคยเป็นผู้ชายแน่ๆเลย เพราะทำงานผู้ชายได้ทุกอย่าง เช่นซ่อมเก้าอี้ เบาะโซฟา คุณแม่เคยซ้อมยิงปืน เล่นฟุตบอล ชอบดูกีฬาชกมวยและฟุตบอล แต่งานของผู้หญิงก็ทำได้ดี เช่นเย็บชุดนักเรียนให้ดิฉันใส่จนกระทั่งเรียนจบปริญญาโท
ที่เกริ่นมาเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบเหตุและผลแห่งกรรมในตอนต่อไปค่ะ คุณแม่ไปบ้านสวนพีระมิดครั้งนี้เป็นครั้งที่3 ครั้งแรกไปเมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคม 2553 และได้ร่วมบุญปัจจัย ขนม ผลไม้ ต้นไม้ เมล็ดพันธุ์ รวมทั้งใช้แรงกายถ้าไปด้วยตนเอง ถ้าไม่ได้ไปก็จะฝากดิฉัน หรือน้องมิ้ม(คุณแม่ของเอ็มเจ)ไปทุกครั้ง นอกจากนี้ขณะที่ดูรายการอาจารย์ทางทีวีดิฉันก็จะให้คุณแม่อนุโมทนาบุญไปด้วยแต่อาการเจ็บป่วยของคุณแม่ก็ไม่ทุเลา จนมาถึงครั้งนี้คุณแม่ใช้แรงกายถากหญ้าด้วยอาการเวียนหัวมาตั้งแต่เช้า(จริงๆคงจะมึนหัวอยู่ตลอดเวลาแต่มากบ้างน้อยบ้าง หากมากก็จะบ่นให้ดิฉันฟัง)ดิฉันยังบอกกับอาจารย์เลยว่าคุณแม่เวียนหัวทานพารามา2เม็ดแล้ว
พอถึงเที่ยงจะให้คุณแม่ทานข้าวท่านก็อาเจียน ขณะเดียวกันอาจารย์ก็เรียกให้ผู้ที่จะร่วมบุญปัจจัยกับอาจารย์ไปรวมตัวกัน ณ ที่ตั้ง ก็เลยยังไม่ได้ทานข้าวพากันไปถวายปัจจัยกับอาจารย์ โดยคุณแม่ได้ถวาย10,000 บาท + ค่าน้ำค่าไฟอีก100บาท อาจารย์บอกว่ามาคราวที่แล้วคุณแม่ก็เอาของรักของหวงมาให้อาจารย์ซึ่งเป็นการลดละความโลภ
หลังทานข้าวเสร็จก็ไปหางานทำกันอีก และประมาณบ่าย3โมง คูณแม่ก็ชวนกลับบอกว่าเวียนหัวไม่ไหวแล้ว ดิฉันเลยไปเข้าห้องน้ำล้างมือก่อนกลับ แต่พอเห็นห้องน้ำเลอะขี้ดินก็เอาสายฉีดน้ำฉีดล้าง สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือคือหัวฉีดหักน้ำไหลกระฉูด เลยบอกคุณแม่ของคุณส้มที่กำลังทำความสะอาดอยู่หน้าห้องน้ำช่วยดูน้ำให้หน่อย ดิฉันจะไปหาทางปิดน้ำ ประจวบเหมาะกับวันนี้ดิฉันนำอุปกรณ์ในห้องน้ำมาร่วมบุญซึ่งมีสายชำระด้วยทำให้ได้ใช้ทันที โดยมีคุณต้อม(สามี)เป็นช่างซ่อมให้ค่ะ
ขณะที่ดิฉันกำลังวุ้นวายกับการซ่อมสายชำระ คุณแม่ก็ไปกราบลาอาจารย์เพื่อขอตัวกลับ แต่ดิฉันได้ยินทางลำโพงว่า อาจารย์ยังไม่ให้คุณแม่กลับ ดิฉันเองก็แปลกใจเพราะมาทุกครั้งไม่เคยเห็นอาจารย์ห้ามไม่ให้กลับ ดิฉันมาทราบทีหลังว่าคุณแม่อาเจียนอีกรอบก่อนมาชวนดิฉันกลับบ้าน และอาจารย์ก็บอกภายหลังว่า เสด็จพ่อท่านท้าวเวสสุวรรณบอกอาจารย์ขณะที่อยู่ในบ้านให้ออกมาบอกไม่ให้อียายแก่ที่ทำบุญ 10,000 บาท กลับ ซึ่งเป็นความเมตตาของท่านท้าวเวสสุวรรณที่มีต่อคุณแม่อย่างสูงสุดที่เลือกเอากรรมและผลกรรมของคุณแม่เป็นธรรมทาน เพราะคุณแม่ไม่ได้เขียนใบสารภาพบาป แต่ท่านเมตตาจัดให้และเป็นคิวแรกด้วย ดิฉันขอกราบขอบพระคุณท่านท้าวเวสสุวรรณและท่านอาจารย์อุบลอย่างสูงค่ะ
หลังจากที่ดิฉันจัดการกับการซ่อมสายฉีดน้ำเสร็จ ก็มาร่วมฟังอาจารย์ไต่สวนกรรมคุณแม่ ดิฉันมัวแต่กังวลกับคุณแม่จนลืมถุงมือที่ได้แขวนไว้ในห้องน้ำ ขอกราบขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านสวนพีระมิดและอาจารย์อุบลด้วยความเคารพจริงๆค่ะ ไม่ได้มีเจตนาจะทิ้งไว้เลยนะคะ ลืมกระทั่งขวดใส่น้ำพีระมิด ดิฉันได้โทรหาคุณแม่ของเอ็มเจเพื่อให้ช่วยเก็บกลับมาให้ด้วยก็ติดต่อไม่ได้ค่ะ ขอกราบขอขมาอีกครั้งค่ะ
ขอเริ่มเรื่องการไต่สวนกรรมของคุณแม่เลยนะคะ อาจารย์ไต่สวนกรรมเกี่ยวกับอาการเวียนหัวมึนหัว เช่น เคยตบหัว/คิดไม่ดีกับผู้อื่นหรือไม่ คุณแม่บอกว่าจำไม่ได้แต่เคยตบตีลูกหลาน โดยที่อาจารย์ใช้เวลาไต่สวนกรรมในชาตินี้ไม่นานนัก ก็ให้คุณแม่ขอขมาเจ้ากรรมนายเวร ดิฉันเองรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยทำไมไต่สวนน้อยจัง อาจารย์บอกว่าถ้าไม่ดีขึ้นก็แสดงว่าเป็นผลจากกรรมในอดีตชาติ แต่หากดีขึ้นก็เป็นผลจากกรรมในชาตินี้ คำตอบก็คือ ไม่ดีขึ้น แสดงว่าไม่ใช่เกิดจากกรรมในชาตินี้เป็นผลของกรรมในอดีตชาติ
อาจารย์เมตตาบอกว่าคุณแม่เคยเกิดเป็นผู้ชาย นักเลงหัวไม้ กะเทย(เป็นผลจากกรรมที่ทำแท้งสัตว์ ซึ่งชาตินี้ก็ทำแท้งให้สุนัข) จึงมีสัญญามาจนถึงชาตินี้ โดยยังชอบทำอะไรได้อย่างที่ผู้ชายทำตามที่เขียนไว้ตอนต้นรวมทั้งหน้าก็มีส่วนคล้ายผู้ชาย อาจารย์เห็นคุณแม่ในอดีตชาติใช้ไม้หน้าสามตีหัวคนตาย อีกทั้งฆ่าคนมามากกว่า 1 คน ตกนรก ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และเวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพหลายชาติ ขณะที่เกิดเป็นคนก็ทำแต่ความชั่ว ทุกอย่างที่ทำได้ อาจารย์จะให้คุณแม่ค่อยๆทยอยขอขมาไปทีละเรื่อง โดยที่ยังไม่บอกกรรมชั่วทีเดียวทั้งหมดเพื่อพิสูจน์ผลของกรรมทีละอย่าง
ไม้หน้าสาม คือกรรมในอดีตกรรมแรก ที่ทำกับบุคคลทั่วไป ส่งผลให้เวียนหัว ปวดหัว มึนหัว กินยา หาหมอ ก็ค่อยยังชั่ว แต่ไม่หายขาด มากว่า 30 ปี ขณะที่ขอขมาคุณแม่ก็กรีดร้องเสียงดัง ซึ่งอาการนี้คุณแม่เคยเป็นตอนฟังสวดภานยักษ์ อาจารย์บอกว่านั่นแสดงว่า พระพุทธองค์ท่านเสด็จ เมื่อขอขมาเสร็จ คุณแม่ก็หายมึนหัว
ต่อมาเป็นกรรมที่ส่งผลถึงอาการปวดขา ซึ่งทรมานยิ่งกว่ามึนหัวเสียอีก อาจารย์พูดถึงกรณีคุณสมชายที่เดินขาชี้ งอขาไม่ได้ เคยข่มขืนผู้หญิงทำผิดศีลข้อ3 กรรมของคุณแม่ยิ่งกว่าอีกค่ะ จับผู้หญิงมัดแขนมัดขาขึงพืดแล้วข่มขืน เจ้าชู้ ชอบใช้สายตาแทะโลม(คุณแม่เคยผ่าต้อกระจกตา) ชอบใช้เท้าเขี่ยของ เตะคน ใช้ปืนยิงขาคนกระเด็น อาจารย์ให้คุณแม่ขอขมา ผลปรากฏว่าดีขึ้นเล็กน้อย อาจารย์บอกว่าเรื่องยาว อาจารย์บอกว่าคุณแม่เคยอยู่นรกขุม8ขณะที่โดนไฟนรกเผาตัวแล้วยังมีภูเขาขนาบหนีบเข้ามาทั้งสองข้างก็ได้คิดอธิษฐานว่า ถ้าได้ไปเกิดจะขอสร้างแต่ความดีทำบุญกุศล ชาตินี้คุณแม่จึงมีจิตใจที่ดีมีเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้อื่นชอบทำบุญ ถ้ามีโอกาสจะใส่บาตรไปวัดทุกวันพระ
แต่ในอดีตชาติทำชั่วทุกชนิด ขอเงินพ่อแม่ไปซื้อเหล้าพ่อแม่ไม่ให้ก็ฆ่าทิ้ง รวมทั้งค่าพ่อตาแม่ยายด้วย อาจารย์ขอให้พ่อแม่ในอดีตชาติของคุณแม่มาอยู่ตรงหน้าเพื่อให้คุณแม่ขอขมา เมื่อขอขมาแล้วอาการปวดขางอเข่าไม่ได้ นั่งคุกเข่าไม่ได้ก็ดีขึ้นประมาณ 50% แต่กรรมชั่วยังไม่หมดค่ะ
คราวนี้ถึงจุดสุดท้ายแล้วค่ะ ในอดีตชาติคุณแม่เคยทำร้ายตั้งแต่พระอริยะสงฆ์ไปจนถึงพระพุทธรูปซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เคยเตะพระ ฆ่าพระ เหยียบรูปพระ เดินข้าม ในชาตินี้คุณแม่จึงต้องทนทุกข์ทรมานกับการปวดขามากจนบางครั้งแทบเดินไม่ได้ คุณหมอจะให้ผ่าตัดหัวเข่า ดิฉันก็บอกคุณแม่ว่าอย่าผ่าเลยเพราะเคยได้ยินมาว่าถ้าผ่าแล้ว เกิดไปประสบอุบัติเหตุหกล้มจะทำให้เดินไม่ได้ ประกอบกับมาเจอรายการคุยไปแจกไปก็เลยคิดว่าน่าจะพาคุณแม่มาใช้แรงกายสร้างบุญที่นี่ เพราะสามีและท่านอื่นๆตามที่ได้ติดตามดูในรายการ ประสบความสำเร็จและดีขึ้นก็เกิดศรัทธา(เวลาคุณแม่จะไปทำบุญที่ไหนที่รู้ว่าไม่มีเก้าอี่นั่งก็จะต้องพกเก้าอี้ตัวเล็กหรือเก้าอี้พับติดตัวไปด้วยทุกครั้งเพราะนั่งกะพื้นไม่ได้มาบ้านสวนก็พกเก้าอี้มาด้วยนะคะ)
อาจารย์ให้คุณแม่ขอขมาพระพุทธเจ้าเมื่อคุณแม่ขอขมาเสร็จอาการก็ดีขึ้นมากกว่า 50% ลงไปนั่งขุกเข่าได้ ปกติจะทำไม่ได้เลยอาจารย์บอกว่าทำกรรมไม่ดีมาตั้งมากมาย จะให้หายหมดได้อย่างไร แค่ทำบุญด้วยปัจจัย10,000 บาท+แรงกายเพียงเล็กน้อย ยังไม่สามารถชดใช้ได้หมด โดยคุณแม่ต้องภาวนาพุทโธ/นะมะพะธะ/อื่นๆ ตลอดเวลาที่นึกได้ รวมทั้งให้คิด+พูดในทางบวก ไม่อนุโมทนาบาปหรือสมน้ำหน้าผู้อื่น และให้บูชาพีระมิดเพิ่ม โดยไว้ที่หัวนอน 3 องค์ ใต้เตียงอีก 9 องค์ แล้วอาการต่างๆที่เป็นอยู่จะดีวันดีคืน ซึ่งดิฉันได้เคยบูชาไปไว้ที่หัวนอนให้คุณแม่แล้ว 3 องค์ เพราะเป็นโรคนอนไม่หลับ หลังจากบูชาไปแล้วก็หลับดีขึ้น
สุดท้ายนี้ดิฉันและคุณแม่รวมทั้งครอบครัว ขอกราบขอบพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้ในความเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านท้าวเวสสุวรรณ สิ่งศักดิ์ทุกพระองค์ที่บ้านสวนพีระมิด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และท่านอาจารย์อุบล อาจารย์มงคล น้องท็อบ ที่เมตตาคุณแม่และครอบครัวดิฉันให้ได้รู้ธรรมะยิ่งขึ้น ละวางความชั่วได้มากขึ้น หมั่นทำความดี และตัดกรรมให้กับคุณแม่ไปได้บ้าง ที่เหลือคุณแม่ต้องปฏิบัติเองเพราะคุณแม่ทำกรรมไว้อย่างแสนสาหัส
ขอกราบขอบพระคุณและขออนูโมทนาทุกบุญค่ะ |