ReadyPlanet.com
dot
dot
พระรัตนตรัย และ ครูบาอาจารย์
dot
bulletสมเด็จองค์ปฐม
bulletหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
bulletพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
bulletดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
dot
รายการคุยไปแจกไป
dot
bulletรายการคุยไปแจกไป
dot
ข่าวสารประชาสัมพันธ์
dot
bulletข่าวสารประชาสัมพันธ์
dot
กิจกรรมบ้านสวนพีระมิด
dot
bulletค่ายบ้านสวนพีระมิด
bulletภาพและคลิปวิดิโอจากบ้านสวนพีระมิด
dot
บทความที่น่าสนใจ
dot
bulletบทความที่น่าสนใจ
bulletคู่มือหนีกรรมผิวพรรณ
bulletคำสารภาพบาป และ ประสบการณ์กฏแห่งกรรม
dot
International Version (ภาคภาษาต่างประเทศ)
dot
bulletEnglish Articles (บทความภาษาอังกฤษ)


อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์  บ้านสวนพีระมิด


รายการคุยไปแจกไป 4 ธ.ค. 2554 ตอน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา พาคณะครู & จนท. รร.สัตยาไส ไปเข้าค่ายบ้านสวนพีระมิด 7-8 พ.ย. 54 (ตอนที่ 2) article

รายการคุยไปแจกไป  ออกอากาศ 4 ธันวาคม 2554
ตอน "ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา พาคณะครู & จนท. รร.สัตยาไส ไปเข้าค่ายบ้านสวนพีระมิด 7-8 พ.ย. 54 (ตอนที่ 2)"
(ความยาว: 1 ชั่วโมง 57 นาที)



 

หมายเหตุ:

  1. บ้านสวนพีระมิด ได้รับอนุญาตจาก YouTube ที่จะนำเสนอคลิปรายการคุยไปแจกไป อย่างเต็มรายการ โดยเริ่มตั้งแต่คลิปรายการออกอากาศของวันที่ 5 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป โดยไม่มีข้อจำกัดเวลาต่อหนึ่งคลิปอีกต่อไป ขอทุกท่านร่วมอนุโมทนากับ YouTube ที่มอบความสะดวกนี้ให้กับทุกๆท่านครับ
  2. ขอรบกวนเพื่อนๆทุกท่านแจ้งผลการรับชมคลิปรายการคุยไปแจกไปให้ทราบด้วยครับ เพื่อการปรับปรุงแก้ไขในโอกาสต่อไป สำหรับเพื่อนๆที่มีปัญหาการรับชม เช่น คลิปกระตุก คลิปขาดๆหายๆ โหลดช้า ไม่มีเสียง และอื่นๆ กรุณาช่วยแจ้งอาการ และความเร็วอินเตอร์เน็ตของท่าน(ถ้าทราบ) ในช่องแสดงความคิดเห็นทางด้านล่างให้ด้วยนะครับ ขอขอบพระคุณอย่างสูงครับ
  3. สมาชิกเท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ (สมัครสมาชิกที่นี่)

 




รายการคุยไปแจกไป

รายการคุยไปแจกไป ตอนที่ 290 (พิเศษ) ตอน อาจารย์อุบล คนหลอกลวง ??? หรือ อาจารย์อุบลคนจริง article
รายการคุยไปแจกไป 29 มิ.ย. 2557 (ตอนที่ 289) ตอน ธรรมะบำบัดสัญจร กาญจนบุรี อดีตตำรวจหายเบาหวาน รร.ฟาร์อีสอินน์ นิ่ว 1 ซม. หลุดออก ไม่ต้องผ่า article
รายการคุยไปแจกไป 15 มิ.ย. 2557 (ตอนที่ 288) ตอน ธรรมะบำบัดสัญจร อ.ปราณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ บำบัดพระ และแม่ชี หาย 100% article
รายการคุยไปแจกไป 8 มิ.ย. 2557 (ตอนที่ 287) ตอน รับบารมีพระศรีอาริย์ เป็นพาร์กินสัน ก็หาย กราบก็หาย คุณพยาบาล เข้าใกล้ก็หาย article
รายการคุยไปแจกไป 1 มิ.ย. 2557 (ตอนที่ 286) ตอน ค่าย 21 ปรามาสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เกือบเอาชีวิตไม่รอด article
รายการคุยไปแจกไป 25 พ.ค. 2557 (ตอนที่ 285) ตอน ธรรมะบำบัดที่ จ.สระแก้ว และลพบุรี รับบารมีพระศรีอาริย์ แค่เดินผ่านก็หาย article
รายการคุยไปแจกไป 18 พ.ค. 2557 (ตอนที่ 284) ตอน ธรรมะบำบัดที่หาดใหญ่ และเชียงใหม่ รับบารมีพระศรีอาริย์ แค่เดินผ่านก็หาย article
รายการคุยไปแจกไป 11 พ.ค. 2557 (ตอนที่ 283) ตอน ธรรมะบำบัดที่หาดใหญ่ รับบารมีพระศรีอาริย์ แค่เดินฝ่านก็หาย article
รายการคุยไปแจกไป 4 พ.ค. 2557 (ตอนที่ 282) ตอน ธรรมะบำบัดที่ปัตตานี รับบารมีพระศรีอาริย์ แค่เดินผ่านก็หาย article
รายการคุยไปแจกไป 27 เม.ย. 2557 (ตอนที่ 281) ตอน ธรรมะบำบัด ชายเป็นอัมพฤกษ์ article
รายการคุยไปแจกไป 20 เม.ย. 2557 (ตอนที่ 280) ตอน กิจกรรม ค่าย 20 หล่อ สวย รวย สุข 12-15 เม.ย. 57 article
รายการคุยไปแจกไป 13 เม.ย. 2557 (ตอนที่ 279) ตอน บำบัดทางไกล ด้วยขวดอภิญญา หายทันที article
รายการคุยไปแจกไป 30 มี.ค. 2557 (ตอนที่ 277) ตอน พระ ทำคุณไสย มนต์ดำใส่นักเรียน / เส้นทางของเชื้อเอดส์ ที่พึงระวัง article
รายการคุยไปแจกไป 23 มี.ค. 2557 (ตอนที่ 276) ตอน โสเภณี นอกซ่อง article
รายการคุยไปแจกไป 16 มี.ค. 2557 (ตอนที่ 275) ตอน ธรรมะบำบัด ปลดปล่อยวิญญาณ จากการทำบาป ผิดศีล article
รายการคุยไปแจกไป 9 มี.ค. 2557 (ตอนที่ 274) ตอน ธรรมะบำบัด พระที่สงสัยว่าถูกทำคุณไสย article
รายการคุยไปแจกไป 2 มี.ค. 2557 (ตอนที่ 273) ตอน ธรรมะบำบัด หญิง ไหล่ติด ยกแขนไม่ขึ้น ชาย ปวดเอว ปวดขา เดินลำบาก article
รายการคุยไปแจกไป 23 ก.พ. 2557 (ตอนที่ 272) ตอน ธรรมะบำบัด หญิงเคยมีอาชีพขายปู ปลา กุ้งหอย ปัจจุบัน ปวดทั้งตัว article
รายการคุยไปแจกไป 16 ก.พ. 2557 (ตอนที่ 271) ตอน ธรรมะบำบัด หญิงเป็นโรค พาร์กินสัน article
รายการคุยไปแจกไป 9 ก.พ. 2557 (ตอนที่ 270) ตอน ธรรมะบำบัด หญิงพิการ พูดไม่ชัด เดินไม่ตรง article
รายการคุยไปแจกไป 2 ก.พ. 2557 (ตอนที่ 269) ตอน ธรรมะบำบัด ผู้ประสบอุบัติเหตุ ทำให้สมองช้า พูดไม่ชัด เดินไม่ตรง article
รายการคุยไปแจกไป 26 ม.ค. 2557 (ตอนที่ 268) ตอน ขอบคุณ อ.อุบล และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ช่วยชีวิตลูกน้อย ให้ฟื้นจากความตาย article
รายการคุยไปแจกไป 19 ม.ค. 2557 (ตอนที่ 267) ตอน พระอยู่ที่ใจ ไม่ใช่เครื่องแบบ article
รายการคุยไปแจกไป 12 ม.ค. 2557 (ตอนที่ 266) ตอน คบคนดี ชีวีก็มีสุข คบคนไม่ดี ชีวีก็มีทุกข์ article
รายการคุยไปแจกไป 5 ม.ค. 2557 (ตอนที่ 265) ตอน ทุกชาติ ศาสนา อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เหมือนกัน article
รายการคุยไปแจกไป 29 ธ.ค. 2556 (ตอนที่ 264) ตอน ละอัตตา ไม่ถือตัวถือตน ก็พ้นทุกข์ จากโรคภัยที่เบียดเบียนได้ article
รายการคุยไปแจกไป 22 ธ.ค. 2556 (ตอนที่ 263) ตอน ผิดศีลมาก ผีร้ายเข้าตัวเองมาก article
รายการคุยไปแจกไป 15 ธ.ค. 2556 (ตอนที่ 262) ตอน เก่งอย่างเดียว ยังไม่พอ ต้องสร้างบุญหนุนนำ ให้ประสบความสำเร็จในชีวิต article
รายการคุยไปแจกไป 8 ธ.ค. 2556 (ตอนที่ 261) ตอน กฎแห่งกรรม ทำให้ทุกข์ article
รายการคุยไปแจกไป 1 ธ.ค. 2556 (ตอนที่ 260) ตอน วิบากกรรม จากหนี้แผ่นดิน article
รายการคุยไปแจกไป 24 พ.ย. 2556 (ตอนที่ 259) ตอน วิบากกรรมที่เคยทำมา พาให้ทุกข์ article
รายการคุยไปแจกไป 17 พ.ย. 2556 (ตอนที่ 258) ตอน ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ชีวิตก็พ้นทุกข์ มีความสุขแน่นอน article
รายการคุยไปแจกไป 10 พ.ย. 2556 (ตอนที่ 257) ตอน ขออภัย สำนึกผิด ไม่คิดทำอีก เจ้ากรรมนายเวรให้อภัย ก็พ้นทุกข์ article
รายการคุยไปแจกไป 3 พ.ย. 2556 (ตอนที่ 256) ตอน จิตที่มุ่งมั่น ศรัทธาที่เต็มเปี่ยม ส่งผลให้พ้นทุกข์ สุข สำเร็จ แน่นอน article
รายการคุยไปแจกไป 27 ต.ค. 2556 (ตอนที่ 255) ตอน ขอความเมตตาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องมีจิตศรัทธา และรักษาศีล article
รายการคุยไปแจกไป 20 ต.ค. 2556 (ตอนที่ 254) ตอน สำนึกกรรม ที่ทำชั่วในอดีต เจ้ากรรมนายเวรให้อภัย ก็พ้นทุกข์ article
รายการคุยไปแจกไป 13 ต.ค. 2556 (ตอนที่ 253) ตอน ปลดปล่อยวิญญานแค้น ด้วยบุญ article
รายการคุยไปแจกไป 6 ต.ค. 2556 (ตอนที่ 252) ตอน วิบากกรรม จากการทำแท้ง article
รายการคุยไปแจกไป 29 ก.ย. 2556 (ตอนที่ 251) ตอน มินิค่าย "อุทิศบุญกรรมทำแท้ง" คิดดี พูดดี ทำดี ชีวีมีสุข article
รายการคุยไปแจกไป 22 ก.ย. 2556 (ตอนที่ 250) ตอน บุญย่อมรักษา ผู้รักษาศีล article
รายการคุยไปแจกไป 15 ก.ย. 2556 (ตอนที่ 249) ตอน ปฏิบัติตนอย่างไรให้รอดพ้น คุณไสย มนต์ดำ article
รายการคุยไปแจกไป 8 ก.ย. 2556 (ตอนที่ 248) ตอน อยากหลุดพ้นบ่วงกรรมที่ทำมา ต้องสำนึกผิด และไม่คิดทำอีก article
รายการคุยไปแจกไป 1 ก.ย. 2556 (ตอนที่ 247) ตอน ล้างมนต์ดำ คุณไสย์ ด้วยบารมี พีระมิด รุ่นพระนางเนเฟอร์ตารี article
รายการคุยไปแจกไป 25 ส.ค. 2556 (ตอนที่ 246) ตอน บารมี พีระมิด รุ่นพระนางเนเฟอร์ตารี article
รายการคุยไปแจกไป 18 ส.ค. 2556 (ตอนที่ 245) ตอน บวงสรวง รวมพระบารมี ท่านรามเสสที่2 และ พระนางเนเฟอร์ตารี article
รายการคุยไปแจกไป 11 ส.ค. 2556 (ตอนที่ 244) ตอน พลังบารมีวัตถุมงคล บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 4 ส.ค. 2556 (ตอนที่ 243) ตอน สำนึกบาปกรรมที่ทำมา และจะไม่ทำอีก ก็ปลดเปลื้องทุกข์ได้ ทันที article
รายการคุยไปแจกไป 28 ก.ค. 2556 (ตอนที่ 242) ตอน บวงสรวงอาราธนาบารมี ท่านรามเสสที่ 2 article
รายการคุยไปแจกไป 21 ก.ค. 2556 (ตอนที่ 241) ตอน ศรัทธาจริงๆ ปาฏิหาริย์ก็เกิดจริงๆ article
รายการคุยไปแจกไป 14 ก.ค. 2556 (ตอนที่ 240) ตอน สำนึกบาป สารภาพกรรม ทำให้พ้นทุกข์ article
รายการคุยไปแจกไป 7 ก.ค. 2556 (ตอนที่ 239) ตอน วิญญาณที่ทุกข์ทรมาน รับบุญ อ.อุบล ไปสุคติภูมิทันที article
รายการคุยไปแจกไป 30 มิ.ย. 2556 (ตอนที่ 238) ตอน ศรัทธาแรงกล้า ปาฎิหาริย์เกิดทันที article
รายการคุยไปแจกไป 23 มิ.ย. 2556 (ตอนที่ 237) ตอน ไปนิพพาน ง่ายที่สุด มนุษย์ทำให้ยากเอง article
รายการคุยไปแจกไป 16 มิ.ย. 2556 (ตอนที่ 236) ตอน อ.อุบล สามารถถ่ายโอนพลัง ให้หัวหน้าสาขาบ้านสวนพีระมิดได้ article
รายการคุยไปแจกไป 9 มิ.ย. 2556 (ตอนที่ 235) ตอน พลังมหัศจรรย์ อ.อุบล บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 2 มิ.ย. 2556 (ตอนที่ 234) ตอน สาขาบ้านสวนพีระมิด ช่วยบำบัดผู้คน ได้ตามที่ อ.อุบล อนุญาต article
รายการคุยไปแจกไป 26 พ.ค. 2556 (ตอนที่ 233) ตอน ผู้ที่ได้รับมองหน้าที่จาก อ.อุบล ก็ช่วยคนอื่นได้เหมือน อ.อุบล article
รายการคุยไปแจกไป 19 พ.ค. 2556 (ตอนที่ 232) ตอน เมตตาบารมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกพระองค์ ในทุกสถานที่ ที่ อ.อุบลไปเยือน article
รายการคุยไปแจกไป 12 พ.ค. 2556 (ตอนที่ 231) ตอน ธรรมะบำบัดสัญจร สัมผัสเมตตาบารมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ article
รายการคุยไปแจกไป 5 พ.ค. 2556 (ตอนที่ 230) ตอน เมตตาบารมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ ในวันเปิดสาขาบ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 28 เม.ย.. 2556 (ตอนที่ 229) ตอน เชื่อมั่น ศรัทธา รักษาศีล จึงสัมผัสเมตตาบารมี จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ article
รายการคุยไปแจกไป 21 เม.ย.. 2556 (ตอนที่ 228) ตอน พลังมหัศจรรย์ บารมีพระนางเนเฟอตารี article
รายการคุยไปแจกไป 14 เม.ย. 2556 (ตอนที่ 227) ตอน พลังมหัศจรรย์ วัตถุมงคล บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 7 เม.ย. 2556 (ตอนที่ 226) ตอน ปฎิบัติตน ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และศรัทธา บ้านสวนฯ ก็พบปาฎิหาริย์ได้ article
รายการคุยไปแจกไป 31 มี.ค. 2556 (ตอนที่ 225) ตอน สาขา บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 24 มี.ค. 2556 (ตอนที่ 224) ตอน มหัศจรรย์ วัตถุมงคล บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 17 มี.ค. 2556 (ตอนที่ 223) ตอน ต้องมีศรัทธา รักษาศีล เมื่อใช้วัตถุมงคล บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 10 มี.ค. 2556 (ตอนที่ 222) ตอน พลัง บารมี และอานุภาพ วัตถุมงคล บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 3 มี.ค. 2556 (ตอนที่ 221) ตอน สร้างบุญที่บ้านสวนพีระมิด สุขทั้งชีวิตโลกนี้ และโลกหน้า article
รายการคุยไปแจกไป 24 ก.พ. 2556 (ตอนที่ 220) ตอน ชดใช้กรรมในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติ ด้วยการสร้างบุญ ที่บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 17 ก.พ. 2556 (ตอนที่ 219) ตอน "พระบรมธรรมบิดา ท่านพ่อดตาจินิน รัก เมตตา ให้อภัย ทุกคนเสมอ" article
รายการคุยไปแจกไป 10 ก.พ. 2556 (ตอนที่ 218) ตอน สัมผัสบารมี พระบรมธรรมบิดา (ท่านพ่อดตาจินิน) ด้วยตนเอง ที่บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 3 ก.พ. 2556 (ตอนที่ 217) ตอน "ท่านพ่อ ดตาจินิน ผู้ให้กำเนิดทุกสิ่งในจักรวาล" article
รายการคุยไปแจกไป 27 ม.ค. 2556 (ตอนที่ 216) ตอน เมื่อจิต เชื่อมั่น ศรัทธา ก็รับอภิญญาได้ โดยง่าย article
รายการคุยไปแจกไป 20 ม.ค. 2556 ตอน ทำอาหารธรรมดา ให้เป็นอาหารอภิญญา article
รายการคุยไปแจกไป 13 ม.ค. 2556 ตอน พิสูจน์ อภิญญาบารมี ด้วยตนเอง ณ บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 6 ม.ค. 2556 ตอน ธรรมะกับทางรอด เตรียมกายเตรียมใจสู้ภัยพิบัติ article
รายการคุยไปแจกไป 30 ธ.ค. 2555 ตอน กิจกรรมธรรมะบำบัด ปลดล็อกกรรม ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ตอนที่ 2 article
รายการคุยไปแจกไป 23 ธ.ค. 2555 ตอน กิจกรรมธรรมะบำบัด ปลดล็อกกรรม ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม article
รายการคุยไปแจกไป 16 ธ.ค. 2555 ตอน รับกรรมเพราะทำเอง ไม่ใช่มรดกกรรม, ศรัทธาจริงใจ ก็หายได้จริงๆ article
รายการคุยไปแจกไป 9 ธ.ค. 2555 ตอน ธรรมะบำบัด ม.ราชภัฏนครปฐม, สำนึกในอกุศลกรรม ทำให้พ้นทุกข์ article
รายการคุยไปแจกไป 2 ธ.ค. 2555 ตอน มหากฐิน บ้านสวนฯ ณ วัดคลองไทร พัฒนาการปาฏิหาริย์ บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 25 พ.ย. 2555 ตอน อานิสงส์ บุญธรรมทาน, อพยพ สู่โลกอวกาศ, สมาธิสร้างอัจฉริยะ article
รายการคุยไปแจกไป 18 พ.ย. 2555 ตอน ส่งคุณพ่อสำเภา วาระนุช สู่นิพพาน พระผู้สร้าง อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ผู้อยู่เบื้องหลังรหัสจักรวาล อ.อุบล ช่วยด้วย article
รายการคุยไปแจกไป 11 พ.ย. 2555 ตอน มโนกรรม นำพาให้ทุกข์ จี้ 3 ร่มโพธิ์ศรี แค่มองก็หายทุกข์ได้ article
รายการคุยไปแจกไป 4 พ.ย. 2555 ตอน สร้างบุญเต็มกำลัง ก็เกิดผลปาฏิหาริย์ ขัดบัญชาสวรรค์ ปาฏิหาริย์ก็ไม่เกิด article
รายการคุยไปแจกไป 28 ต.ค. 2555 ตอน บารมีพระศรีอาริย์ อานุภาพ จี้ 3 ร่มโพธิ์ศรี article
รายการคุยไปแจกไป 21 ต.ค. 2555 ตอน อานุภาพ จี้สฟิงซ์ 3 ร่มโพธิ์ศรี อานิสงส์ กิจกรรมกลุ่ม บุญแรงกายที่บ้านสวนฯ article
รายการคุยไปแจกไป 14 ต.ค. 2555 ตอน ค่าย 13 ชมบารมีพระศรีอาริย์ พบปาฏิหาริย์มากมาย article
รายการคุยไปแจกไป 7 ต.ค. 2555 ตอน คุณไสยพ่ายบารมีพระศรีอาริย์ ผู้มีความกตัญญู ย่อมพบปาฏิหาริย์ ที่บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 30 ก.ย. 2555 ตอน การอาราธนาบารมีพระศรีอาริย์ ที่พบปาฏิหาริย์ทันที ที่บ้านสวนพีระมิด & กทม. article
รายการคุยไปแจกไป 23 ก.ย. 2555 ตอน เพราะกรรมใด จึงทำให้เจ็บปวดบ่อย และยากจน article
รายการคุยไปแจกไป 16 ก.ย. 2555 ตอน พิธีบวงสรวง อาราธนาบารมี พระศรีอาริย์ สถิตย์ ณ บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 9 ก.ย. 2555 ตอน บารมีพระศรีอาริย์ ทรงบันลือสีหนาท ทุกกาลสถานที่ article
รายการคุยไปแจกไป 2 ก.ย. 2555 ตอน ธรรมบำบัด แบบฉับพลันทันที ศรัทธาก็ได้ผล ไม่ศรัทธาก็ไม่มีผล ณ ม.มหิดล และ บ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 26 ส.ค. 2555 ตอน ธรรมบำบัดแบบเห็นผลฉับพลันทันที ณ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล ชมบารมีพระศรีอาริย์ ที่บ้านสวนฯ article
รายการคุยไปแจกไป 12 และ 19 ส.ค. 2555 (ออกอากาศซ้ำ) ตอน อานุภาพจี้องค์เทพสฟิงซ์ และเสื้อบ้านสวนพีระมิด article
รายการคุยไปแจกไป 5 ส.ค. 2555 ตอน สารภาพบาปกับองค์เทพสฟิงซ์ เห็นผลฉับพลันทันที เหมือนสารภาพกับ อ.อุบล article
รายการคุยไปแจกไป 29 ก.ค. 2555 ตอน ผลของกรรมรวมตัว เล่นคุณไสย+หมกมุ่นในกาม ละเมิดกฎบ้านสวนพีระมิด article



[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (140971)

อนุโมทนาบุญกับชาวบ้านสวน ท่านอาจารย์อุบลและครอบครัว และขอให้คุณพ่ออาจองสุขภาพแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืนอยู่กับพี่น้องชาวสัตยาไส และชาวบ้านสวนพีระมิดไปนานๆนะคะ ขอกราบเท้าพ่ออาจอง เนื่องในวันครบรอบวันเกิด ๗๑ปีนะคะ ชาวสัตยาไสโชคดีมากเลยนะคะที่ได้ใกล้ชิด รับใช้พ่ออาจอง
ดูแลท่านดีๆนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-04 02:58:53


ความคิดเห็นที่ 2 (140975)

ใครหนอ ....

ที่พูดกับลูกๆทุกคนเสมอว่า

"ให้อภัยตลอดเวลา...อยู่แล้ว"

 

ช่างเป็นคำพูดที่อบอุ่น

แต่ทำให้"คนฟัง" สะเทือนใจและเสียใจ

ในความคิด คำพูด และ การกระทำ

มากเป็นพิเศษ เพราะคนที่เราล่วงเกินนั้น

สูงส่งเพียงใด

 

ยิ่งได้ชม ยิ่งได้รู้จัก

ท่านดร.อาจอง มากขึ้นเท่าใด

ยิ่งทำให้รู้สึกรักและเทิดทูนท่านมากขึ้นเรื่อยๆ...

 

ชนิดาคิดว่า ตั้งแต่วันนั้น

ลูกๆชาวสัตยาไสทุกคน

คงจะรู้สึกเช่นนั้น...เหมือนกัน

 

 

 

และเทปนี้ก็เน้นย้ำกันชัดๆอีกครั้งว่า

สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ทุกอย่าง

ล้วนเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ถูกต้อง

และ ควรปฏิบัติตามทั้งสิ้น

โดยเฉพาะศีลห้าข้อ ไม่ว่าเราจะผิดข้อใด

"กรรม" นั้นก็ส่งผลสะท้อนกลับมาที่เรา ทั้งสิ้น

 

 

และอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ ที่เราควรจำ

คือ การตัดต้นไม้นั้นเป็นบาปมหันต์

ฉะนั้น ก่อนตัดควรจะขออโหสิ

และถวายบุญแด่ท่านรุกขเทวดา

ให้มีวิมานหลังใหม่เสียก่อน...

จึงจะไม่มีผลร้ายเกิดขึ้นกับเรา...

 

ขออนุโมทนากับคณะครู นักเรียน

และเจ้าหน้าที่โรงเรียนสัตยาไส

ทุกๆท่านเลยนะคะ ที่มาร่วมบุญ

กันอย่างขยันขันแข็ง แล้วก็มาเปิดใจ

ยอมเปิดเผย"อกุศลกรรม"ที่ตนเคยทำมา

เพื่อเป็นธรรมทานที่ยิ่งใหญ่ แก่ผู้ชมต่อไป..

 

 

ขอบุญนี้จงส่งผลให้ทุกๆท่าน

มีความสุขในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น

ทางด้านความรัก การงาน การเงิน

และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ


กราบขอบพระคุณองค์พระสัมมาสัมพูทธเจ้า

หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

เสด็จพ่อท่านท้าวเวสสุวรรณ

ท่านพระยายมราช ท้าวมหาราชทั้งสี่

องค์เทพสฟริงซ์ อาจารย์อุบล

อาจารย์มงคล คุณท็อป คุณเพชร

และคุณมาร์ค ด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-04 10:24:54


ความคิดเห็นที่ 3 (140984)

“ในหลวง” ทรงสอน “พุทธศาสนานี้ ปฏิบัติที่ไหน ปฏิบัติอย่างไร”






 
 





 


“ในหลวง” ทรงสอน “พุทธศาสนานี้ ปฏิบัติที่ไหน ปฏิบัติอย่างไร”
 


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชศรัทธาปสาทะอันแน่วแน่มั่นคงในบวรพุทธศาสนา
โดยได้เสด็จออกทรงพระผนวช
ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน พ.ศ.2499
ในระหว่างนั้นได้ทรง ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
อย่างเคร่งครัด ดังที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทรงเล่าถึงพระราชจริยวัตร
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงพระผนวชว่า


 


 

ภาพนี้ปลื้มพระองค์ท่านที่สุด ^_^




“...พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จะได้ทรงพระผนวชตามราชประเพณีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้
แต่ทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธา
ที่ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
มิได้เป็นบุคคลจำพวกที่เรียกว่า “หัวใหม่” ไม่เห็นศาสนาเป็นสำคัญ
แต่ได้ทรงเห็นคุณค่าของพระศาสนา
ฉะนั้น ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญก็กล่าวได้ว่า “บวชด้วยศรัทธา”
เพราะทรงผนวชด้วยพระราชศรัทธา ประกอบด้วยพระปัญญา
และได้ทรงปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด...”




 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:23:01


ความคิดเห็นที่ 4 (140985)


 


 


และสมเด็จพระสังฆราช ยังได้ทรงกล่าวถึงพระราชจริยวัตร
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในทางพุทธศาสนา ว่า

“...ในด้านหน้าที่ราชการนั้น ก็ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ
ทางพระพุทธศาสนา ตามราชประเพณีโดยมิได้ขาดตกบกพร่อง
เช่น พระราชกรณียกิจเนื่องในเทศกาลสำคัญทางพระพุทธศาสนา
พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามต่างๆ
ทั้งในกรุงเทพฯ และในหัวเมือง
พระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์แด่พระสงฆ์
ในการเอื้ออำนวยแก่การปกครองคณะสงฆ์
และเชิดชูผู้ทรงศีลทรงธรรมให้เป็นที่ปรากฏ
ตลอดถึงพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์
การสั่งสอนและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ในด้านที่เป็นการส่วนพระองค์นั้น
ก็ทรงปฏิบัติพระองค์ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมของพระพุทธศาสนา
มีราชธรรม เป็นต้นดังกล่าวแล้ว
ทรงศึกษาพระพุทธศาสนา และทรงนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการส่วนพระองค์ในโอกาสต่างๆ
และบำรุงพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นจำนวนมากมิได้ขาด...”


 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:24:02


ความคิดเห็นที่ 5 (140986)


 



 




นอกจากการทรงสนทนาธรรมกับสมเด็จพระสังฆราชแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียน
และสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ ฝ่ายวิปัสสนาธุระหลายรูป
อาทิ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสารเถร) วัดราชผาติการาม กทม.,
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร,
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู,
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์,
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย,
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่,
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย,
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา,
พระอาจารย์แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร,
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี,
หลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง,
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่,
หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน,
หลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย,
หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี,
พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม จ.สกลนคร,
หลวงปู่นำ ชินวโร วัดดอนศาลา จ.พัทลุง,
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี,
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ฯลฯ


 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:25:28


ความคิดเห็นที่ 6 (140987)


 




......................................................................................

พระองค์ทรงรอบรู้ธรรมะอย่างแตกฉาน ลุ่มลึก
ทรงบำเพ็ญสมาธิวิปัสสนาภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
ดังพระราชดำรัสในโอกาสที่คณะผู้แทนพุทธสมาคมทั่วประเทศ
เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิตาลัย
วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2523
ซึ่งมีความบางตอนที่ได้ทรงอรรถาธิบาย
ถึงเรื่องการปฏิบัติในพุทธศาสนา ดังนี้

“...เนื่องจากที่ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายหวังในบารมี
ให้ปกเกล้าบ้านเมืองนั้น ก็เป็นอย่างหนึ่งที่น่าคิด
เพราะว่า บ้านเมือง ประกอบด้วยบุคคล และแต่ละบุคคล
จะต้องทำ ด้วยตนเอง ตามหลักของพระพุทธศาสนา
แต่ละคนจะต้องการอะไร ก็ต้องการความสุขคือ ความสงบ
และความ สุขและความสงบนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยตนเอง
ฉะนั้น ที่จะให้คนอื่นมาปกป้องรักษา
ก็เป็นสิ่งที่ยาก ถ้าตัวเองไม่ทำ
อันนี้เป็นข้อที่สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา
แต่การที่จะอาศัยคนอื่น ก็อาศัยได้
โดยดูผู้อื่นที่ปฏิบัติดีชอบ และคอย ฟังสิ่งที่ผู้อื่น
ที่เราเห็นว่าปฏิบัติดีชอบได้พูดได้แนะนำ ดังนี้
ก็เป็นสิ่งที่อาศัยผู้อื่นได้
ฉะนั้น ก็จะต้องมีการพิจารณาของตัวเองว่า
ผู้ที่น่าที่จะดูการปฏิบัติ หรือฟังข้อแนะนำ
ในการปฏิบัติและทำตาม อันนี้
เป็นสิ่งที่ช่วยให้บุคคล ได้บรรลุถึงความสำเร็จความสุขได้...


 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:26:55


ความคิดเห็นที่ 7 (140988)


 


 



 


การปฏิบัติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เริ่มสนใจก็เริ่มทำได้แล้ว

มาถึงปัญหาของพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งลำบากที่สุด
ที่จะเห็นพระพุทธศาสนา และที่จะเห็นประโยชน์ของพระพุทธศาสนา
เพราะแต่ละคนก็มีกายและใจของตัว
แต่ละคนมีความรู้ หรือปฏิปทาของตัว แล้วแต่ภูมิแต่ขั้น
การที่จะปฏิบัติตามพระพุทธศาสนานั้น
ย่อมจะเป็นแล้วแต่บุคคล แล้วแต่สภาพของตัว
ฐานะนี้ไม่ได้หมายถึง ฐานะทางการเงินการทอง หรือความเป็นอยู่
แต่หมายถึง ฐานะของจิตของแต่ละคน
ฉะนั้น ถ้าว่าไป พุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ลุ่มลึก
ที่ลำบากที่จะสั่งสอน หรือที่จะเรียน
เพราะว่า แต่ละคนจะต้องทำตามฐานะของตัว
หรือจะว่าได้ว่า พุทธศาสนามีหลายชนิด
แต่ละคนก็มีพุทธศาสนาของตัว
ฉะนั้น การที่จะสั่งสอน การที่จะชี้แจง การที่จะฟัง
การที่จะเรียนพุทธศาสนานั้น จะต้องพยายามที่จะทำด้วยตนเอง

...การปฏิบัตินั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
โดยมากพูดถึง ปฏิบัติก็กลัวกัน
เพราะว่าปฏิบัตินั้นมีวิธีต่างๆ แล้วก็โดยมากวิธีต่างๆ นั้น
บรรยายกันมาว่า ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้
ต้องทรมาน ต้องเหนื่อย ต้องเสียเวลามาก
ไม่สามารถที่จะปลีกตัวออกมาปฏิบัติ

ความจริงปฏิบัติพระพุทธศาสนา
ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ของยาก
แต่ละคนทำได้ทั้งนั้น แต่ว่าก็จะต้องมีความตั้งใจ
เมื่อเราอยากที่จะปฏิบัติธรรม มีความอยากแล้วก็หมายความว่า
เรายินดี เราอยากที่จะปฏิบัติ มีข้อนี้เป็นต้น

ถ้าเราสนใจพระพุทธศาสนา
และปฏิบัติธรรมของพระพุทธศาสนา
เริ่มสนใจก็เริ่มทำได้แล้ว
เพราะว่าคนเราไม่อยากปฏิบัติ ขี้เกียจปฏิบัติ
หรือไม่คิดอ่านที่จะปฏิบัติ ก็ย่อมไม่ได้ปฏิบัติ
เมื่อไม่ได้ปฏิบัติแล้วความมืดก็ครอบคลุม
เพราะว่าไม่ได้เปิดไฟ



 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:28:17


ความคิดเห็นที่ 8 (140989)


 

...............................................................................

ทรงเปรียบการปฏิบัติเหมือนการเปิดไฟ
เมื่อไฟสว่างก็พอใจสบายใจ เรียกว่า “ฉันทะ”

แต่ถ้าเราอยากขึ้นมา อยากและก็เห็นว่า
ศาสนานี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ก็ย่อมเป็นการเปิดไฟ
แม้จะริบหรี่ก็เป็นความสว่างให้เห็น
อย่างเช่น เราเข้าไปในห้องที่มืดแล้ว เราก็ไม่รู้จักห้องนั้น
ไม่ทราบว่า สวิทช์ไฟอยู่ที่ไหน เรามีไฟฉาย
แล้วก็เปิดไฟฉายอันริบหรี่นั้น หรือไม้ขีดไฟที่เป็นแสงสว่าง
ไปหาสวิทช์ไฟ ถ้าเราไม่ไปหาสวิทช์ไฟ
เราก็ไม่สามารถที่จะเปิดไฟที่อยู่ในห้องนั้น
คือ มีหลอดไฟ มีสายไฟ มีสวิทช์ครบถ้วนในห้องนั้น
เราไม่สามารถจะพบนอกจากบังเอิญ
โดยบังเอิญเราไปแตะสวิทช์ไฟแล้วก็เปิดขึ้นมา
แต่ว่าโดยมากก็ต้องทำ

เมื่อหาได้แล้วด้วยไฟริบหรี่เรามีอยู่กับตัว
ก็สามารถไป เปิดไฟได้ ไฟริบหรี่นี้คือ การสนใจเบื้องต้น
เมื่อเราไปเปิดไฟได้แล้วก็จะสว่างขึ้นมา มันสว่าง
ไฟที่อยู่ในห้องนั้นอาจจะไม่สว่างเต็มที่
อาจจะมีหลายแห่ง ก็เปิดไฟอันนั้น ก็มีความ ปีติยินดีแล้ว
ก็เป็นอันว่า เราพอใจในการปฏิบัติเช่นนั้น
คือ เปิดสวิทช์ไฟมันมีความสว่างดี
เปิดสว่างดีก็ย่อมมีความพอใจสบายใจ มีความร่าเริงใจ
ความร่าเริงใจนี้ ความสบายใจเบื้องต้นนี้
เป็นปัจจัยสำคัญของการปฏิบัติพุทธศาสนา
ท่านเรียกว่า “ฉันทะ” คือ ความพอใจในการปฏิบัติ
มีความพอใจในการค้นคว้า


 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:29:23


ความคิดเห็นที่ 9 (140990)


 


 


 





...........................................................................................

ความเพียร ความอดทน ความเอาใจใส่ และทบทวน
ทำให้การปฏิบัติก้าวหน้า

เมื่อมีความพอใจในการค้นคว้า เราก็ต้องค้นคว้าต่อไป
ไม่ใช่พอใจเพียงแค่นั้น เพราะว่าความสว่าง ความดี ความสุข
ความพอใจในการปฏิบัตินั้น ยังมีอีกมาก
ก็ต้องเพียรที่จะปฏิบัติงานของพุทธศาสนา
อันนี้ก็จะต้องมี “วิริยะ”

วิริยะ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่อเริ่มต้นแล้วต้องมีวิริยะ
หมายความว่า ต้องเพียร
ต้องมีความขยัน “วิริยะ” นี้คู่กับ “ขันติ” คือ ความอดทน
บางทีเวลาเราทำงานอะไรก็ตาม
ในทางโลกทางธรรมเราทำงานแล้วเหนื่อย
เมื่อเหนื่อยก็ต้องมีความอดทนในความเหนื่อยนั้น
ก็ต้องมีความเพียรที่จะปฏิบัติต่อไป
ฉะนั้น พูดไปก็ต้องเห็นว่า ความเพียร กับ ความอดทน นั้น
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้งานใดๆ บรรลุผลได้
เมื่อมีความเพียรมีความอดทนแล้ว สิ่งอื่นก็มา
แต่ในความเพียร ในความอดทนนี้ ก็ต้องมีการเอาใจใส่
เอาใจใส่นั้นคือ ติดตามอยู่ตลอดเวลาว่า งานของเราไปถึงไหน
แล้วก็ไม่ควรจะเผลอ ต้องให้มีการดูติดตามไม่ฟุ้งซ่าน

เมื่อปฏิบัติเช่นนั้นก็ยิ่งก้าวหน้าไปใหญ่
งานต่างๆ ก็จะมีความสำเร็จได้ ไม่ใช่งานทางพุทธศาสนาเท่านั้น
งานอื่นๆ งานใดในโลก งานในหน้าที่ หรืองานในทางส่วนตัว
งานทุกอย่างนั้น จะก้าวหน้าไปได้โดยดี
จะไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะว่าราบรื่นได้
เพราะว่าแม้จะมีอุปสรรค อุปสรรคเหล่านั้นไม่ใช่อุปสรรคที่จะข้ามไม่ได้
ถ้ามีความเพียรความอดทนความเอาใจใส่

การปฏิบัติงานจะต้องทบทวนอยู่เสมอ
ดูให้ชัดว่างานที่เราทำไปมันไปถึงไหน
งานนั้นไปในทางที่ถูกต้อง หรือไม่
เพราะบางทีถ้ามีความอดทน มีความเพียร และมีความเอาใจใส่
อาจจะเอาใจใส่อย่างไม่ถูกต้องนัก
คือ เช่นเดียวกับการเดินทางไปที่ไหน
สมัยนี้ต้องแล่นรถ เราก็แล่นรถไปตามทาง
มีทางแยกไหน เราก็เห็นว่าทางนี้ถูกต้องแล้ว
แต่ว่าแท้จริงเราเลี้ยวผิด อาจจะเป็นได้
เพราะว่าดูทางเป็นเช่นนั้น
ก็จะต้องทบทวนอยู่ว่าทางนั้นถูกต้องหรือไม่

...ที่กล่าวมานี้ ก็เป็นทางที่จะให้ได้ปฏิบัติงานของธรรม
หรือปฏิบัติพุทธศาสนาในทางที่เรียกว่า “ปฏิบัติ” เริ่มต้นตรงนี้อย่างนี้
และที่ว่านี้ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับการปฏิบัติงานทุกอย่าง
ไม่ใช่งานของการปฏิบัติธรรม
เป็นประโยชน์สำหรับการปฏิบัติงานของตัว
ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย มีประโยชน์ทั้งนั้น
ใครมีหน้าที่อะไร มีงานอะไร
ถ้าทำตามหลักนี้ ก็มีความสำเร็จแน่ๆ บอกว่าแน่
ไม่ใช่อาจจะ เป็นสิ่งที่แน่
เพราะว่า จิตใจของเราจะได้ปฏิบัติในทางที่ถูก

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:30:51


ความคิดเห็นที่ 10 (140991)


 


..........................................................................................

เริ่มต้นปฏิบัติด้วยการ “ดูใจ” เพื่อให้เกิดความสงบคือสมาธิ

คราวนี้ก็ยังไม่ได้พูดถึงว่า
พุทธศาสนานี้ ปฏิบัติที่ไหน ปฏิบัติอย่างไร
เพราะว่า คนที่ศึกษาพระพุทธศาสนา หรือมาตั้งเป็นพุทธสมาคม
หรือเป็นกลุ่มศึกษาพุทธศาสนา
บางทีก็ยังไม่ทราบว่า การปฏิบัตินั้นเริ่มที่ไหน
เพราะที่พูดถึงวิธีการที่จะปฏิบัติได้นั้น
ก็ไม่ได้บอกว่าเริ่มปฏิบัติตรงไหน
นอกจากมาเปรียบเทียบ ว่า เข้าไปหาสวิทช์ไฟ
เพื่อจะเปิดให้ความสว่าง และเมื่อมีความสว่างแล้ว ก็ดูทางได้
และไปดูทางที่จะทำให้สว่างยิ่งขึ้น
และสวิทช์ไฟนั้นอยู่ที่ไหน คือ สวิทช์ไฟนั้น
เราเอาแสงไฟเท่าที่ริบหรี่นั้นไปฉาย
แล้วก็ไปเปิด สวิทช์ไฟ สวิทช์ไฟนี้คืออะไร
เพราะว่า ท่านพูดอยู่เสมอว่า พระพุทธศาสนานั้น
เมื่อได้ปัญญาก็มีความสว่าง
เมื่อปฏิบัติธรรมก็ได้ปัญญา ได้แสงสว่าง

ปัญญานั้นก็ดูจะเป็นสวิทช์ไฟ

แต่ถ้าดูๆ ไป ปัญญานี้ปัญญาอะไร ก็ปัญญาในธรรมนี้
ปัญญาในธรรมไม่ใช่สวิทช์ไฟนั้นจะพบอย่างไร
แต่การที่จะบอกว่า สวิทช์ไฟคืออะไรนั้น
ก็คือใจเรา ใจหรือจิต จิตหรือใจก็ได้
แล้วบางทีท่านก็เรียกว่า จิต บางท่านก็เรียกว่า ใจ
บางท่านก็บอกว่าจิตคือ ใจ บางท่านก็บอกว่าใจคือ จิต
บางท่านก็บอกว่าจิตไม่ใช่ใจ
หรือบางท่านก็บอกว่าจิตคือ เป็นอาการของใจ
อาการของใจนี้แปลว่าอะไร
ใจเป็นสิ่งที่เรามีทุกคน เป็นสิ่งที่เรา ไม่เห็น
เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น
แต่ว่าใจนี้จะเป็นผู้บงการการกระทำของเราทั้งหลาย
จึงต้องพยายามดู แต่ถ้าใจนี้เราไม่ดูก็ไม่เห็น
ถ้าดูด้วยตา ด้วยตาที่มองดูภูมิประเทศดูใครต่อใครนั้น
ดูตึกดูอาคารนั้น ตานั้นจะไม่เห็น
ท่านก็เรียกว่าตาใจ คือความรู้
ตาใจนั้นก็คือ เป็นสิ่งที่จะใช้สำหรับได้ปัญญา
ได้เห็นแสงสว่าง ปัญญา

คราวนี้เราก็เจอแล้วว่า ส่วนหนึ่งของสวิทช์ไฟ หรือส่วนหนึ่งของกลไก
ที่จะทำให้มีความสว่างคือ ใจ
ใจนี้เมื่ออยากทราบ ก็จะต้องปฏิบัติหลายอย่าง
ตอนแรกเราจะไม่สนใจ เพราะว่า เมื่อเราดูไป เราก็เกิดความฟุ้งซ่าน
เราเกิดความรู้สึกโลภ รู้สึกอาจจะโกรธด้วยซ้ำ
จึงทำให้มีสิ่งที่มาปิดคือ ปิดในสิ่งที่ท่านเรียกว่า โมหะ คือความโง่
ความไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง มันปิดบังใจ และปิดบังความจริง
ฉะนั้น จะต้องหาทางที่จะเปิด เปิดม่านนั้น
เมื่อเปิดม่านนั้น ก็จะต้องพยายามที่จะทำให้ใจนี้สงบ
อันนี้ก็มาถึงเรียกว่า สมถะ หรือ สมาธิ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้น่ากลัวเท่าที่ว่า
บางคนก็บอกว่า การนั่งสมาธินี้ ระวังดีๆ อาจจะเป็นบ้าก็ได้
อาจจะแย่ ลำบาก ไม่มีทางที่จะทำ น่ากลัว
แต่ว่าสมาธินี้ก็ต้องเริ่มอย่างเบาๆ ก่อน คือว่า จะต้องมีความตั้งใจ
ให้จิตใจนี้ไม่ไปเกาะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม
หมายความว่า จะต้องเริ่มต้นด้วยการปัดกวาดสิ่งที่เป็นม่าน
หรือจะเป็นสิ่งที่คลุม ไม่ทำให้สงบได้ ไม่ทำให้เกิดความนิ่งแน่ได้

การที่จะให้เกิดความสงบคือ สมาธินี้
จึงต้องพยายามดูให้เห็นว่า อะไรมาปิดบัง
เมื่อถอนสิ่งที่ปิดบังนั้น ทันใดก็ได้สมาธิ
โดยมากเราจะทำอะไร เราก็คิดถึงอะไรสารพัดไม่แน่
คือหมายความว่า เราไปติดเรื่องอื่น
อย่างสมมติว่าเราจะเดินไปไหน
ถ้าสมมติว่าเราลุกขึ้นยืน แล้วก็เราอยากออกจากห้องโถงนี้
เราไม่เห็นประตู เราไม่เห็นอะไร
เราจะต้องถอนสิ่งที่อยู่ข้างหน้าตาเราก่อน
หันไปในทางที่จะเป็นสิ่งที่เหมาะสม ในการกระทำคือ ประตู
สมมติว่าเราดูฝาผนัง หรือดูม่าน หรือดูเพดาน
สิ่งเหล่านั้นมันปิดบัง มันไม่เห็นประตู
เราก็จะต้องเอาจิตใจของเรา เอาออกไปจากฝาผนัง
หรือออกจากเพดาน หรือออกจากม่าน
เอาไป ไว้ที่ประตู หมายความว่า ขั้นแรกเราต้องการประตู
เราก็จะต้องทิ้งฝาผนัง หรือเพดาน
หรือม่านที่เรากำลังดู หมายความว่า
สิ่งที่กีดขวางไม่ให้สามารถที่จะได้เห็นสิ่งที่เราต้องการ

ถ้าเราบอกว่าเราดูฝาผนัง ดูเพดานบ้าง ดูม่านบ้าง
แล้วก็เราไม่มีทางที่จะดูประตู
แต่ว่าถ้าเราตัดสินใจปั๊บว่า ตอนนี้ไม่ใช่ภาระของเราที่จะดูเพดาน
ดูฝาผนัง หรือดูอะไร เป็นภาระที่จะไปหาประตู
เราก็จะถอน ออกมาจากสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่
ส่วนมากเราก็มีความชอบอะไร ก็เรียกว่า “กามราคะ” มี “โทสะ”
คือพยาบาท หรือบางทีก็ไม่ใช่โทสะ หรือราคะอะไร
มีความฟุ้งซ่านแกว่งไกว ไปที่นั่นที่นี่
เดี๋ยวอันนี้ก็ไม่เอา อันโน้นก็ไม่เอา
มันไม่มีทางที่จะมีความสงบ หรือบางที เราก็พยายามหาความสงบ
เราไม่มีความ เพียรพอ เรามันง่วง เรามันหาว
บางทีเราก็เกิดมีสิ่งที่ทำให้ไม่สามารถ มันย่อหย่อน
บางทีก็ไม่เชื่อว่า มีประตูด้วยซ้ำ
ต้องปัดกวาดความลังเลสงสัยอะไรต่างๆ เหล่านี้
สิ่งที่ไม่ดีคือ สิ่งที่ทำให้ฟุ้งซ่าน
ทำให้เราไม่สามารถ ที่จะทำใจให้นิ่งๆ
เพราะว่ามีสิ่งที่มาปิดบังดังนี้
แต่ถ้าเราพยายามที่จะดูว่ามีสิ่งที่ปิด
และก็บอกว่า เอาตอนนี้มันไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่เวลาที่จะเอาสิ่งมาปิดบัง
ถอนปิดบัง เหล่านี้เราก็ได้สมาธิ ได้ทันทีเลย นี่เรียกว่า สมาธิ


 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:32:36


ความคิดเห็นที่ 11 (140992)




.......................................................................................

จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรม อยู่ที่ตัวสมาธินี้ ซึ่งเรามีทุกคน

สมาธินั้นเราอาจจะได้เป็นเวลาเพียงครึ่งวินาที
มันก็เป็นสมาธิแล้ว แต่ว่าเป็นสมาธิที่อ่อนมาก
แต่ก็เป็นสมาธิข้อสำคัญที่จะต้องได้
อันนี้ให้เห็นว่าสมาธิคืออะไร
โดยมากคนเราเมื่อเป็นเด็ก เป็นนักเรียน
ท่านก็สอน คือหมายความว่า ครูบาอาจารย์หรือพ่อแม่ก็สอน
ให้ตั้งจิตตั้งใจเรียน ก็หมายความว่า ทำสมาธินั้นเอง
แล้วเราก็เรียนว่า ถ้าเราตั้งใจในสิ่งนั้นๆ ให้ดีมันก็ทำได้
เรียกว่า มีสมาธิ เพราะว่า จิตเราไปเพ่งอยู่อันเดียว
แต่คนเราถ้าไม่มีสมาธิเสียเลย
หมายความว่า เป็นคนฟุ้งซ่านจริงๆ เป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง
จะเรียนอะไรไม่ได้ จะพูดก็ไม่ได้ ไม่มีทางอะไรเลย
คือว่าขึ้นชื่อว่า เป็นคนไม่มีสมาธิ
ไม่ใช่ว่าคนเรา เราเสียใจเหลือเกินว่า เรามันขาดสมาธิ
ถ้าคิดว่าเราขาดสมาธิ เท่ากับเรามีสมาธิอยู่แล้ว
เพราะรู้ว่ามีคำว่า สมาธิ เราได้เรียนรู้แล้ว
ถ้าไม่มีสมาธิในตัวเลยหมายความว่า ไม่มีความดีเลยในตัว
ก็ไม่สามารถที่แม้จะคิด จะมีคำว่าสมาธิ

ฉะนั้น จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรมอยู่ที่ตัวสมาธินี้ ซึ่งเรามีทุกคน
มีแต่ว่าให้เห็นว่า นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรม
คือ จากสมาธิที่เรามีธรรมดาๆ
ที่เมื่อเด็กๆ ครูบาอาจารย์พ่อแม่ได้สั่งสอนบอกว่า ต้องตั้งใจ
แต่นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของสมาธิ
เพราะเหตุว่า การที่จะปัดกวาดสิ่งที่ปิดกั้นสมาธิ
ที่ท่านเรียกว่า “นิวรณ์” การปิดกั้นนี้
เราจะเอาออก มันต้องมีสมาธิเพื่อให้มีสมาธิ
อันนี้พวกเราที่อยากจะศึกษาสมาธิ
และศึกษาการปฏิบัติธรรมติดอยู่ตรงนี้
เพราะเราไปหาอาจารย์ ท่านบอกว่าต้องทำสมาธิ
มีนิวรณ์ 5 อย่างนั้นๆ มีสิ่งที่ปิดกั้น
การที่จะทำให้สิ่งที่ปิดกั้นนั้นออก จะต้องตั้งใจ
ต้องมีสมาธิเพื่อจะเอาเครื่องปิดกั้นนั้นออก เราก็งง
โดยมากไม่มีที่ไหนที่จะสอนให้ทำสมาธิ
โดยได้บอกว่า ให้เอาเครื่องปิดกั้นนี้ออก
บอกว่าต้องระงับนิวรณ์ทั้งสิ้น
ก็หมายความว่า การระงับนิวรณ์นี้ต้องใช้อะไร ก็ต้องใช้สมาธิ
จะทำอย่างไร ไก่มาก่อนไข่หรือไข่มาก่อนไก่

ความจริงใช้สมาธิระงับนิวรณ์ จริงๆ ท่านไม่ได้พูดผิด
แต่ว่าเราไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าเราต้องการสมาธิ
แล้วเราต้องใช้สมาธิ เพื่อระงับนิวรณ์
ซึ่งเป็นสิ่งที่ปิดกั้นสมาธิ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้
แต่ว่าถ้าเข้าใจแล้วว่า สมาธิเรามีอยู่ทุกคน
มิฉะนั้น เราไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ถ้าเราไม่มีสมาธิ หรือไม่มีทุนเดิม
เราไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ที่มีความฉลาดมากหรือน้อยก็แล้วแต่
แต่ว่ามีความฉลาด มีความดี มีวาสนา ทุกคนมีมากหรือน้อย เท่านั้นเอง
หรือดี หรือชั่ว เท่านั้นเอง แต่เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์
ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งแล้ว เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราทำสมาธิได้
เพราะเหตุว่าเราได้ทำมาแล้ว เราทำมาถึงเกิดมาเป็นมนุษย์
เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีความดีอยู่ในตัว ความชั่วมี
แล้วก็โดยมากใครๆ ก็ว่า มนุษย์มีกิเลส
มีความชั่วเลวทรามต่างๆ ต้องขัดเกลา
เราก็หัวหดเลย แต่ว่าความจริงไม่เป็นเช่นนั้น
คือ ความจริงทั้งหมดที่ครบถ้วนไม่เป็นเช่นนั้น

ความจริงเรามีความเลวทรามชั่วในตัวทุกคน มากหรือน้อย
โดยมากก็มาก และเรามีความดีทุกคนมากหรือน้อย
แต่โดยมากก็น้อย อย่างไรก็ตามมีน้อยๆ นี่มันเป็นทุนเดิมทั้งนั้น
ไม่ใช่ว่าเราไม่มี ทุกคนสามารถที่จะปฏิบัติงานของธรรมนี้
ได้ทุกๆ คน ไม่เว้นสักคน
แต่ว่าจะต้องหาหรือขุดความดีที่เรามีเป็นทุนเดิมนี้
มาทำให้เกิดความดีเพิ่มขึ้น
ฉะนั้นก็ใช้สมาธิที่มีอยู่เดิม อาจจะสมาธิแย่ๆ ก็ได้ แต่ว่าเป็นสมาธิ

สมาธิมากระตุ้นทำให้เกิดสมาธิที่ดีขึ้น
ฉะนั้น สมาธิที่ดีขึ้นนั้นก็มีได้ทุกคน
ก็อาศัยความเพียร ความอดทน ที่อาจมีสมาธินี้
ก็เปรียบเทียบได้กับไฟฉายเล็กๆ หรือไม้ขีดไฟริบหรี่
ไฟริบหรี่นั้นก็สามารถที่จะใช้อันนี้สำหรับไปทำให้สมาธิใหญ่ขึ้น ดีขึ้น
อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้สมาธิ


 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:33:57


ความคิดเห็นที่ 12 (140993)


 




.............................................................................................

เราทำสมาธิให้นิ่ง จิตใจให้นิ่ง
ก็จะมาเห็นใจของเรา ใจจะไม่เป็นสิ่งที่ลึกลับ

สมาธินี้ถ้าเราเอามาใช้ คือ สร้างสมาธิให้ดีขึ้นหน่อย
แล้วเอามาใช้ ไม่ต้องทำสมาธิให้หนักแน่นมากนัก
แต่ว่าเป็นสมาธิที่ควบคุมได้ เราจะมาเห็นใจ
เราทำสมาธิให้นิ่ง จิตใจให้นิ่ง ก็จะมาเห็นใจของเรา
ใจจะไม่ เป็นสิ่งที่ลึกลับ ใจจะเป็นสิ่งที่เปิดเผย
คือ เราเปิดเผยตัวเราเอง
ถ้ากลัวว่าคนอื่นจะมาเห็นใจเรา จะมาทะลุทะลวง เข้ามาในใจเรา
ไม่ต้องกลัว เราทะลุทะลวงเข้าในใจของตัวเราเอง
ดูใจนี้ก็จะเห็นได้ ต่อเมื่อใจนั้นได้รับ ที่เรียกว่า “อารมณ์”
คือ สิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา ได้ฟังด้วยหู เป็นต้น
เวลาเข้ามาแล้วเราจะเห็นว่าใจ นี้ อันนี้พูดอย่างลับ
ใจนี้จะมีความรู้สึกอย่างไร คือ ตัวใจนี้เป็นรูปร่างอย่างไร
ใจนี้จะชอบ ชอบใจหรือไม่ชอบใจ
อันนี้ใช้สมาธิที่ทำให้ใจนี้นิ่งก่อน
แล้วก็เมื่อมีอารมณ์ ซึ่งอารมณ์เข้ามาทุกเมื่อตลอดเวลา
อารมณ์เข้ามา เรากั้นอารมณ์นั้นไว้
เท่าที่ความสามารถด้วยการระงับนิวรณ์
ใจนั้นจะกระเพื่อม ถ้าเปรียบเทียบได้ จะเห็น จะเห็นในใจแต่ละคน

ถ้าคิดจริงๆ ดูว่า ใจนี้เป็นน้ำนิ่ง สมมติว่าเราเอาน้ำมาใส่ ไม่ต้องมาก
เอาน้ำมาใส่ชามอ่างก็ได้ กลับบ้านไปหาชามอ่าง
เอาน้ำมาใส่ให้เต็ม เอาชามอ่างนั้นมาวางไว้แห่งหนึ่ง แล้วน้ำนั้นจะนิ่ง
ทิ้งไว้ให้นิ่งสักครู่ คราวนี้เปรียบเทียบกับใจ
ใจหรือน้ำนิ่งนั้นแล้วเราก็ไปหาอะไรอย่างหนึ่ง จะเป็นก้อนกรวด
หรือจะเป็นอะไรก็ตาม โยนลงไป
น้ำนั้นเป็นอย่างไร น้ำนั้นจะกระเพื่อม หรือชามอ่างนั้นวางไว้
เราไปผลัก น้ำจะเป็นอย่างไร น้ำจะกระเพื่อม
เราจะเห็นน้ำกระเพื่อม กระเพื่อมอย่างไร เราก็เห็น
ถ้าเราโยนอะไรเล็กๆ ลงไป น้ำจะกระเพื่อมเหมือนเป็นคลื่นเล็กๆ
เสร็จแล้วถ้าเราผลักเอา มันจะกระเพื่อมๆ ไปอีกอย่าง
ถ้าเราเอาน้ำใส่เต็มอ่าง ชามอ่าง นั้นอาจจะทำให้น้ำกระฉอกออกมา
หรือถ้าโยนอะไรที่ใหญ่ เราโยนลงไปน้ำต้องกระเซ็นออกมา
ทำให้โต๊ะหรือ อะไรที่เราวางไว้เปียกหมด
ถ้าเราผลักน้ำก็อาจจะต้องหก นี่แหละใจ

เราจะเห็นได้ว่า ใจของเรา เมื่อได้รับการกระทบอย่างไรก็ตาม
ด้วยอารมณ์ใดก็ตาม ใจนั้นจะกระเพื่อม คือ ใจนั้นจะเหมือนน้ำ
ใจนั้นจะมีคลื่น ใจนั้นจะทำให้มีความเคลื่อนไหว
เราก็เห็นได้ ถ้าใจนั้นโดนอย่างแรง ก็อาจจะหกอาจจะออกมา
หมายความว่า สมมติว่าเราอยู่เฉยๆ ใครเข้ามาตีหัว หรือต่อย
เราก็โกรธ แล้วก็ ต่อยตอบไปเลย นี่ใจมันหกออกมา
เราก็ดู ในการดูใจนี้ ก็เป็นการดูปฏิกิริยาของใจ
คราวนี้ก็ได้ถึงเห็นใจแล้ว ใจที่เคลื่อนไหว
เคลื่อนไหวต่างๆ และก็ใจนี้ ทำให้เรามีความสุข มีความทุกข์ ใจนี้เอง
เมื่อมีความสุข บางทีก็ลิงโลด ดีใจมาก อาจจะทำให้เสียก็ได้
กระโดดโลดเต้น หกคะเมนลง ขาหักได้ เป็นสิ่งธรรมดา
คือ หมายความว่า แม้แต่มีความสุข ก็ทำให้มีความทุกข์ ต่อไปได้


 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:35:09


ความคิดเห็นที่ 13 (140994)




................................................................................................

การศึกษาพระพุทธศาสนา ต้องทำด้วยความสุจริต

การศึกษาพระพุทธศาสนานี้ เป็นสิ่งที่ไม่ยาก
ถ้าจิตใจจดจ่อ ถ้ามีความตั้งใจจริง
และมีความซึ่งเรียกกันทุกคนว่า “ความสุจริต”
ทุกคนต้องสุจริต ถ้าทุจริตแล้วไม่มีทาง
เพราะว่าไปในทางที่ผิดทุกครั้ง
ไปในทางที่คิดว่าดี คิดว่าสะดวก
แต่ว่ามืดมนไปในทางที่ผิดทั้งนั้น
ฉะนั้นต้องมีความสุจริต เวลาให้โอวาทกับใคร
หรือท่านผู้ใหญ่ให้โอวาทกับผู้อื่น
ก็ต้องพูดว่าขอให้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
วางตัวด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทุจริต
อันนี้ก็เพื่อให้งานของส่วนราชการ หรือส่วนงานนั้นดำเนินไปด้วยดี
เพราะว่า ถ้าทุจริตแล้วก็พัง แต่ว่าการงานของพระพุทธศาสนา
เป็นการงานของแต่ละคน เป็นส่วนตัวแท้ๆ
ก็ต้องทำด้วยความสุจริต เหมือนกัน
ถ้าไม่ทำด้วยความสุจริตแล้ว
ตัวเองก็เท่ากับเอาก้อนหินมาถ่วงที่คอ แล้วโยนลงไปในนรก

...พูดมานานก็เพราะว่าพุทธศาสนานี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องสนใจ
เป็นสิ่งที่ทุกคนจะได้ประโยชน์ถ้าเข้าในทางที่ถูก
และเป็นสิ่งที่ไม่ยากที่จะปฏิบัติ
พูดว่าไม่ยากในการปฏิบัติ ไม่น่าที่จะพูดนาน
ถ้าเป็นสิ่งที่ง่ายๆ แต่ว่าจะง่ายถ้าตั้งจิตให้ถูกที่ถูกทาง
ด้วยความเพียร และด้วยความจดจ่อ ด้วยความรู้รอบคอบ
คือ การสำรวจให้ดี ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ยาก
ถ้าได้พูดให้ยาวก็เพราะว่า สิ่งที่ง่ายนี้
ทุกคนอาจจะยังไม่เห็นหรือเห็นยาก
เห็นยากในสิ่งที่ง่ายจึงต้องพูดยาว
แต่ถ้าทุกคนเห็นสิ่งที่ง่ายแล้วก็ไม่ต้องพูดยาว
ถ้าสมมติว่า ทุกคนเห็นว่าง่ายจริงๆ
หมายความว่า เห็นส่วนที่ง่าย จะพูดได้สั้นมาก
คือ ท่านทั้งหลายขอให้มีความเพียรในการปฏิบัติจิตที่ถูกต้องที่ดี
อันนี้ก็หมด พูดแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องพูดอื่น
หรือแม้จะบอกว่า ถ้าพูดอย่างนี้ก็ยังยาว
ถ้าท่านทั้งหลายมาแล้วก็รู้ว่า ทุกคนรู้ว่าง่ายแล้วรู้จริง
ไม่ใช่รู้เก๋ๆ เฉยๆ รู้จริงว่าง่าย ซึ่งง่าย บอกว่าสวัสดีเท่านั้นเองก็พอ
ไม่ต้องมานั่ง มายืนให้เมื่อย ไม่ต้องมาพูดให้คอแห้งเปล่าๆ
ก็เพียงสวัสดี เพียงว่าปฏิบัติดีชอบก็พอ แต่มันยากที่ว่าไม่เห็นว่าง่าย
ฉะนั้นในที่นี้ ก็พูดเกินไป พูดมากไป ก็จะเป็นอันตรายเหมือนกัน
เพราะว่า อาจจะมีคนคัดค้านก็ได้ในคำพูดที่พูดออกไป
ซึ่งอาจจะดูเหมือนว่าเป็นทฤษฎี
ความจริงไม่ใช่ทฤษฎีแหวกแนวอะไร
เป็นส่วนหนึ่งของการสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแท้ๆ
ไม่ใช่สิ่งที่คิดค้นขึ้นมาโดยไม่มีหลักฐาน



 




 




 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:36:31


ความคิดเห็นที่ 14 (140995)

ขอให้ได้ไปปฏิบัติแต่ละคน ในจิตใจของแต่ละคน

ถ้าท่านทั้งหลายมาวันนี้มาให้พร คือ ตามที่บอกว่าเป็นทางการว่า
มาให้พร ในโอกาสวันเกิดที่ผ่านมาแล้วเมื่อเร็วๆ นี้
ท่านมาที่นี่ แล้วท่านก็ต้องนั่งอยู่นาน
แต่ก็ขอขอบใจที่ท่านมาด้วยความปรารถนาดี
และดีใจมากถ้าทุกคนที่อยู่ในกลุ่มสมาคม หรือชมรม หรือชุมนุม
ที่จะศึกษาพุทธศาสนา
จะไปคิดทบทวนหน้าที่ของกลุ่มต่างๆ ดังกล่าวมานี้
และ หน้าที่ของแต่ละคนที่ว่า
ไม่ใช่ว่าจะบอกว่าจะเผยแพร่พระพุทธศาสนา
สั่งสอนพระพุทธศาสนา ส่งเสริมพระพุทธศาสนา
ขอให้ได้ไปปฏิบัติแต่ละคน ในจิตใจของแต่ละคน
และทุกคนจะเป็นศาสนาใดก็ตามในประเทศไทย
ก็จะได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติของท่าน
คือว่า เป็นประโยชน์ผู้อื่น ในการปฏิบัติประโยชน์ของตน

ฉะนั้น ถ้าทุกคนได้ปฏิบัติประโยชน์ของตนอย่างแท้จริง
อย่างจริงๆ ไม่ใช่เบี่ยงบ่ายไปในทางทุจริต
ทำ จริงๆ ในประโยชน์ของตน ของธรรมของตัว
หรือของโลกของตัว เป็นอันว่า ได้ประโยชน์แล้ว
สำหรับทุกคนในโลก ...เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นทั้งหมด
เพราะว่าแผ่ความดี แผ่รัศมี เช่นเดียวกับที่เราว่า
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ท่านตรัสรู้แล้วก็แผ่รัศมีออกมา
เราได้รับทั้งนั้น แม้จะเป็นคนที่ไม่ใช่พุทธศาสนา
ก็ได้รับประโยชน์ของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า...”

..................................................................................

ที่มา :: www.dhammajak.net
จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 85 ธ.ค. 50 โดยกองบรรณาธิการ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 ธันวาคม 2550 16:04 น.

---------------
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
�����ǧ� �ç�͹ ��ط���ʹҹ�� ��ԺѵԷ���˹ ��Ժѵ����ҧ�Ô
พระบรมฉายาลักษณ์ประกอบกระทู้จาก capture vdo สารคดีเทิดพระเกียรติในหลวง
สารคดีเทิดพระเกียรติในหลวง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:38:14


ความคิดเห็นที่ 15 (140996)

ลูกขออนุญาต จากท่านอาจารย์อุบล นำบทความและรูปประกอบที่คัดลอกมาจากเวบพลังจิิตมาอีกที เพื่อนำมาให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ลูกหลานชาวบ้านสวนได้อ่านเพื่อน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง เนื่องในวันครบรอบ วันพระราชสมภพ ครบ ๗ รอบในวันที่ ๕ ธันวามหาราช ๒๕๕๔ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ผกามาศ โกพล Norway (milkyway9975-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-05 00:52:32


ความคิดเห็นที่ 16 (141031)

กราบเรียน  ท่านอาจารย์อุบลและอาจารย์มงคล

                       หนูขออนุญาตคัดลอกข้อมูลและคลิปรายการทุกคลิปเพื่อนำไปเผยแพร่ต่อบุคคลอันเป็นที่รัก   จุดประสงค์เพื่อให้เปลี่ยนตัวเองทันที  หนูขอกราบพระคุณองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านท้าวเวสสุวรรณ  หลวงปู่ปาน  หลวงพ่อฤาษีลิงดำ สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนพีระมิดทุกพระองค์  ท่านอาจารย์อุบลและครอบครัวศุภเดชาภรณ์ ที่ได้ให้โอกาสหนูและครอบครัวได้สร้างบุญใหญ่  เปลี่ยนแปลงตัวเอง  สร้างสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นกับครอบครัวและบุคคลอื่น  และหนูขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์อุบลและครอบครัวทุกบุญด้วยค่ะ  สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนา จันทร์อ่อน (pouging1-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-07 09:53:23


ความคิดเห็นที่ 17 (141067)

 กราบขอบพระคุณ อ.อุบล ดร.อาจอง และทุกท่านมากคะ

 

รักอ.อุบล รักดร.อาจอง มากคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-10 15:56:55


ความคิดเห็นที่ 18 (141070)

กราบขอบพระคุณอาจารย์อุบลและดร อาจอง ลูกรักอาจารย์และดร อาจองมากๆเลย ท่านเป็นพระโพธิสัตย์

ลูกได้ดูและฟังคลิปนี้ ลูกมีความรู้สึกรักและเทิดทูนคุณพ่อ ดร อาจองมากๆเลย ลูกได้ฟังคำที่ท่านพ่อพูดว่าท่านจะยังไม่นิพพานท่านจะเกิดทุกภพทุกชาติยังไม่ไปนิพพานจนกว่าท่านพ่อจะสามารถช่วยให้คนไปนิพพานได้ฟังแล้วน้ำตาไหลเลยยังมีคนที่เสียสละขนานนี้

ลูกขอกราบเท้าคุณแม่อุบลและคุณพ่อ ดรอาจองค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น กุลภัค ชาครประดิษฐ์ (kunkun70-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-11 12:49:00


ความคิดเห็นที่ 19 (141077)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณผกามาศค่ะ

         สาธุ...

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เกสร ศรประสิทธิ์ (andabatik-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-13 11:07:11



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.