กราบ คุณแม่อุบล และ คุณพ่อมงคล
และ สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกท่าน ครับ
ขอน้อมกราบต่อพระพุทธองค์ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อเสงี่ยม ท่านพระอาจารย์รัตน์ ท่านท้าวเวชสุวรรณ ท่านดตาจินิน และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งบ้านสวนพีระมิด
ขอกราบขอบพระคุณ คุณแม่อุบล คุณพ่อมงคล ท่านด๊อกเตอร์อาจอง และ ขอขอบคุณ คุณท๊อป
และ ขอขอบคุณ คุณมาร์ค และ คุณเพชร
คืนนี้ ได้ดูคลิป ของวันที่ 9 กันยายน 2555
"บารมีพระศรีอาริย์ ทรงบันลือสีหนาท ทุกกาลสถานที่"
เป็นคลิปที่ คุณแม่ได้ไปบรรยายธรรมบำบัด ที่ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2555
คุณธนาได้สอบถามว่า การมาบรรยายธรรมครั้งนี้ เป็นการใช้มนต์มายาไหม ในการทำให้คนที่เจ็บปวดหายได้ แล้วที่บอกว่า พระพุทธเจ้าท่านเสด็จมานั้น จะเป็นได้อย่างไร เมื่อท่านได้นิพพานไปแล้ว
คุณแม่ จึงได้ขอให้ ด๊อกเตอร์วิชิต ได้เปิดพระไตรปิฎก ที่หน้า 106 ซึ่งได้กล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเกี่ยวกับปาฎิหาริย์ 3 อย่าง คือ
1. อิทธิปาฎิหาริย์
เช่น ผู้เดียวทำเป็นหลายคน เหาะได้
เป็นอิทธิฤทธิ์ที่นักมายากลก็ทำได้ คนที่เรียนวิชาคันธารีก็ทำได้ แต่ไม่ได้เป็นไปเพื่อการสิ้นทุกข์ ไม่ได้ทำให้หายเจ็บหายป่วยได้
2. อาเทสนาปาฏิหาริย์
เช่น การดักรู้ใจคน
คนที่เรียนวิชามณิกา ก็ทำได้ ก็ไม่ได้ช่วยให้ใครสิ้นทุกข์ได้ หายเจ็บป่วยได้
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ พระพุทธเจ้า ท่านไม่ทรงสรรเสริญ
3. อนุศาสนีปาฎิหาริย์
เป็นการแสดงผลของกรรม แสดงให้รู้ ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ ให้ค้นหาเหตุ และ ดับเหตุ คือ การขอขมา การขออโหสิกรรม และ การทำบุญให้
พระพุทธองค์ ท่านทรงสรรเสริญปาฏิหาริย์ นี้
การดับเหตุ เป็นไปเพื่อการสิ้นทุกข์ เมื่อฝ่าฝืนก็ย่อมเกิดทุกข์
คุณแม่ได้กล่าวว่า แค่การรับสารภาพ เป็นแค่บุญเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ได้รับผลไม่เต็มร้อย ทำให้อาการเจ็บปวด ยังไม่หมด ซึ่้งอาจจะเกิดจาก
1. ค้นหาเหตุยังไม่หมด
2. กำลังบุญที่ทำให้เค้ายังไม่พอ เนื่องจากยังไม่ได้สร้างบุญกุศลให้เค้าเลย
คุณธนาได้สอบถามว่า แล้วจะทราบได้อย่างไร ว่า พระพุทธองค์ท่านเสด็จมา
คุณแม่ได้กล่าวว่า การมาบรรยายธรรมครั้งนี้ คุณแม่ได้แสดงหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นการได้รับพุทธานุญาตจากพระพุทธองค์ให้แสดง และ พระองค์กำกับการแสดง จึงจะเกิดปาฎิหาริย์ เมื่อสารภาพกับคุณแม่ หรือ สารภาพกับจี้สฟิงซ์ แล้ว อาการเจ็บป่วยก็หาย เพราะ ได้รับพุทธานุญาตจากพระพุทธองค์ ซึ่งการจะเกิดปาฎิหาริย์ได้นั้น
ซึ่งคุณแม่ได้บอกกล่าวว่า การที่เราได้รับทราบว่า พระพุทธเจ้า ท่านได้นิพพานแล้ว เป็นการละสังขาร สิ้นกิเลส ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่พระเมตตาของพระพุทธองค์ก็ยังคงอยู่ แต่เราไม่สามารถเห็นได้ เพราะ ท่านไม่ได้มีสังขารอีกต่อไปแล้ว แต่เราสามารถรับทราบได้ จากผลที่เกิดขึ้น เช่นอาการที่เจ็บปวดหายได้
คุณแม่ได้กล่าวว่า ถ้าเราทำมโนยิทธิให้จิตอยู่ระหว่าง ฌาน3 และ ฌาน4 เราจะเห็นพระพุทธองค์ เห็นจุฬามณี ก็เหมือนกับการที่เราดูทีวี ฟังวิทยู เราก็ไม่สามารถมองเห็นคลื่นภาพ และ คลื่นเสียงได้ แต่ถ้าเรามีเครื่องรับ เช่น ทีวี เมื่อเราเปิดทีวี เราก็มองเห็นภาพ และ เสียง ได้
เมื่อคุณแม่ได้บอกกล่าวว่า คุณแม่ได้อาราธนาพระบารมีของพระศรีอาริย์ มาอยู่ที่ กาย วาจา ใจ และ ให้พี่ผู้หญิง คนหนึ่ง ที่มีอาการปวดที่เข่า ให้เดินเข้ามาใกล้ๆ อาการที่ปวดเข่าก็ดีขึ้น เหลือแต่อาการชาเท่านั้น เมื่อคุณแม่แตะไหล่ ก็เหลืออาการชาเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อให้ใช้ระหัส และ การขอพระบารมีของพระศรีอาริย์ ขอให้อาการที่ชาหายด้วย แต่ปรากฎว่า อาการชาไม่ได้หายไป
แต่เมื่อให้คนอื่นๆ ที่มีอาการปวดท้อง ปวดหลัง ปวดขา ออกมาสัมผัสพระบารมีของพระศรีอาริย์ บางคนก็หาย บางคนก็เหลืออาการแค่เล็กน้อย พวกพี่ๆ ก็ขอกราบคุณแม่ อาการก็หายกันทุกคน ซึ่งคุณแม่ได้บอกกล่าวว่า ถ้ามาขอกราบเพื่อจะได้หายจากความเจ็บปวด ย่อมไม่ได้ผล แต่ต้องขอกราบโดยไม่ขออะไร ก็จะหายได้ ซึ่งคุณแม่ได้บอกว่า เราต้องสร้างบุญด้วยพระกรรมฐาน ซึ่งเป็นบุญที่ใหญ่ แต่ถ้าสร้างไม่ได้ก็ให้ไปใช้แรงกายที่บ้านสวนพีระมิด เพราะ เป็นบุญแรง แต่อย่าไปทำแบบทำไปบ่นไป หรือ ทำด้วยความขี้เกียจ หรือ ทำไปก็เกิดความสงสัยไป จะทำให้เป็นบุญที่ไม่บริสุทธิ์
ซึ่งคุณแม่ได้ยกตัวอย่าง ด๊อกเตอร์จิ๋ม ซึ่งเป็นโปลิโอ ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ที่มาใช้แรงกายที่บ้านสวนฯ โดยการขุดดิน หิ้วปูน อาการที่ปวดหลัง ก็หายโดยไม่ต้องไปนวดอีก ขาที่เคยเหวี่ยง ก็ไม่เหวี่ยง ขาก็เดินไม่แบะ ไม่ต้องใช้ไม้เท้า ขาก็ตรงขึ้น โดย ด๊อกเตอร์สุวัฒน์ รุ่นน้องของด๊อกเตอร์จิ๋มออกมาบอกกล่าวยืนยัน ซึ่งด๊อกเตอร์สุวัฒน์บอกว่า ด๊อกเตอร์จิ๋มมีความศรัทธาต่ออาจารย์อุบลและบ้านสวนฯ มาก จะเห็นทุกครั้งที่ หาที่จอดรถที่ ปตท. ด๊อกเตอร์จิ๋มจะใช้ระหัสอาจารย์อุบลช่วยด้วย ทำให้มีที่จอดรถทุกครั้ง
เมื่อสอบถามด๊อกเตอร์วิชิต ถึงเรื่องของการหายของด๊อกเตอร์จิ๋มด๊อกเตอร์วิชิต ก็บอกว่าเชื่อใน พุทธคุณ ธรรมคุณ และ สังฆคุณ
เมื่อคุณแม่ได้สอบถาม ถึง เรื่องสภาพคล่องทางการเงิน ก็มีคนจำนวนมากมายที่ยกมือขึ้น ว่าตนเองมีปัญหาการเงิน ซึ่งคุณแม่ได้บอกว่า การทำทานต้องให้มีความบริสุทธิ์สามส่วน ผลจึงจะเกิดฉับพลันทันที อยากสวยให้รักษาศีล อยากรวยให้ทำทาน อยากฉลาดให้ทำสมาธิ ทำวิปัสนากรรมฐาน
คุณแม่บอกว่า การทำทานนั้นแบ่งเป็น 3 อย่าง
1. ทำทานแบบ ทาสทาน คือ การให้ของที่ไม่ดีกับผู้อื่น
ทำให้เรามีกิน มีใช้ สิ่งของที่แย่ๆ
2. ทำทานแบบ สหายทาน คือ การให้ของที่เท่าของตนเอง
ทำให้เรามีกิน มีใช้ สิ่งของปานกลาง
3. ทำทานแบบ สามีทาน(นาย) คือ การให้ของที่สูงกว่า
ทำให้เรามีกิน มีใช้ ที่ดีเลิศ
นั้นคือ การที่เราทำทานเพื่อละอัตตาของตนเอง ยกจิต
การที่เรามีหนี้สิน เพราะ เราไม่ขยันทำทาน ทำบุญ หรือ ทำทานไม่เป็น ทำลายโอกาสในการสร้างทาน หรือ ผิดศีลข้อสอง(ลักทรัพย์) เป็นกรรมที่สร้างแล้วยกเลิกไม่ได้ ทำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์(ไปทานข้าวด้วยกัน แต่เราพยายามควักเงินให้ช้าๆไว้) ใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า ทิ้งขยะ ไปวัดก็เอาอาหารกลับบ้านด้วย
ค้าขาย ก็ยัดเยียดของที่จะขายให้กับลูกค้า ก็จะทำให้เรามีอุปสรรคทางการเงิน
การที่เจ้านายเลี้ยงข้าวเรา ถ้าเรามีโอกาสก็ให้ซื้อของไปฝากเจ้านายบ้าง (รู้จักการรับ ก็ต้องรู้จักการให้)
ถ้าไม่มีเงินทอง ก็ให้ใช้แรงกายตอบแทนเค้า
ยืมเงินใคร ก็ควรไปใช้คืนเค้า ผ่อนใช้เค้า แล้วก็ไม่ควรก่อหนี้ใหม่
ซึ่งในโลกมนุษย์ มีกฎ 2 อย่าง คือ
1. กฎที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น กฎหมาย กฏระเบียบ ซึ่งเป็นกฎที่ยกเลิก เปลี่ยนแปลงได้
2. กฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นกฎที่ยกเลิก แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้
คุณแม่ได้กล่าวว่า คนที่ไปวัดแล้วชอบนำของวัดกลับบ้าน ต้องทำบุญโดยการชำระหนี้สงฆ์ โดยการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ หน้าตัก 4 ศอก หรือ นำเงินไปหยอดตู้ชำระหนี้สงฆ์ โดยทำไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต เมื่อทราบแล้วอย่าทำผิดอีก ถ้าทำอีก 2 หรือ 3 ครั้ง ก็ต้องไปโลกันต์
ไปใช้ห้องน้ำ อย่าทำห้องน้ำสกปรก ไม่ทิ้งขยะ
หนี้แผ่นดิน ชอบโกงภาษี เลี่ยงภาษี เอาของหลวงกลับบ้าน ให้สร้างพระชำระหนี้แผ่นดิน ถ้าสร้างไม่ได้ ก็ให้ใส่บาตรวิระทะโย ให้ใส่ทุกวัน โดยให้เป็นเงินที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง ทำแล้วไม่เดือดร้อน เวลาใส่ก็ให้อธิษฐานว่า
"ปัจจัยจำนวนนี้ ข้าพเจ้าขอสร้างสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน และ ทานใหญ่น้อยทุกทาน"(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกไว้)
เมื่อรวบรวมได้แล้ว ก็ให้นำไปทำบุญ สถานที่ที่เรามีศรัทธา เช่น โรงพยาบาล องค์กรสาธารณะกุศล
อย่าไปอยากกินของผู้อื่น โดยที่เค้าไม่อนุญาต หรือ เค้าไม่ให้ และ เวลาเค้าเรียกให้เราทานอะไร ก็ควรจะพิจารณาด้วยว่า เค้าเรียกเราตามมารยาทหรือเปล่า
ทางใจ เราก็ตรวจสอบด้วยว่า เราเคยอิจฉาใครไหม เคยมีความคิดไม่อยากเห็นใครได้ดี เพราะ ทำให้เราไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
คุณแม่ ได้ให้นิยามว่า
อิจฉา คือ อยากเป็นอย่างเค้า แล้วเป็นไม่ได้ แล้วหงุดหงิด เป็นแค่ วาจา ใจ ไม่ถึงขั้นทำร้ายเค้า
ริษยา คือ ไม่อยากเห็นเค้าเป็นอย่างนั้น อยากทำลายเค้า อยากให้เค้าวิบัติ
มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง ออกมาบอกกล่าวว่า ปวดหลัง คุณแม่ลองให้อนุโมทนากับด๊อกเตอร์จิ๋ม กับการที่ด๊อกเตอร์หายจากการเจ็บป่วย แต่เมื่อโมทนาแล้ว ก็ปรากฎว่าอาการปวดหลังไม่หาย คุณแม่ให้เหตุผลว่า พี่เค้าไม่ได้มีความคิดโมทนายินดีจริงๆ
คุณแม่ได้สรุปให้ฟังว่า การประสบปัญหาการเงิน นั้น ก็เกิดได้จากทั้ง กาย วาจา ใจ เราอย่าไปคิดอิจฉาริษยาใคร ซึ่งมโนกรรม ก็ต้องใช้คุณธรรม จริยธรรม คือ ใช้ปัญญาหาเหตุ อยากรวยก็ต้องหาสาเหตุว่า ทำไมเค้าถึงรวย เพราะ ที่สุดของคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คือการพ้นทุกข์ มีความสุข
ที่เราทุกข์นั้น เกิดขึ้น เพราะ คนอื่น หรือ ว่าเกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง ซึ่งพระพุทธองค์ให้เราแก้ไขที่ตัวเราเอง
หลวงพ่อเสงี่ยมได้บอกคุณแม่ว่า ให้ทำดัวเป็นภูเขา อย่าทำตัวเป็นยอดหญ้า เพราะ ยอดหญ้า น้ำท่วมก็เน่า ลมพัดก็ไหวเอน ถูกเหยียบก็ยุบ ฝนตกใส่ก็เปียก ภูเขาไม่ไหวเอน ไม่ยุบ ไม่เปียก
คุณแม่บอกว่า ให้เรารับรู้ ไม่รับเอา ใครจะเป็นอะไรก็ช่างเค้า อย่าไปหย่อนจิตไปตาม ทุกคนมีกรรมเป็นของแต่ละคน นิสัยของเค้ามาจากภพภูมิที่เค้ามา ปากจัด ด่าเก่ง มาจากขุม4 ขี้ขโมย มาจากขุม2 เจ้าชู้ลามก มาจากขุม3 ขี้เหล้า มาจากขุม5 ฆ่าสัตว์ มาจากขุม1 เราไปเปลี่ยนแปลงที่มาของเค้าไม่ได้ ให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเรา กำหนดตัวเราได้ เปลี่ยนแปลงที่ไปของเราได้
คุณธนาได้สอบถามว่า ปิรามิดเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาหรือศาสนาพุทธอย่างไร
คุณแม่ได้บอกว่า ในพระไตรปิฎก ก็ไม่ได้เขียนไว้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไว้ พระพุทธองค์ก็ทรงบอกว่า ความรู้ที่ท่านมีเปรียบเสมือนกับใบไม้เพียงกอบมือเดียว เมื่อเปรียบกับใบไม้ที่มีอยู่ในโลกนี้ทั้งหมด
พระอาทิตย์ก็ไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
พระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ได้ทรงห้าม ไม่ให้ใช้ปีรามิด หรือ ไม่ให้ใช้รถ
คุณแม่ ถามว่า เป็นคนไทย ทำไมไม่ทานผัดไท ทำไมทานเห็ดชินตาเก๊ะ ทานเห็ดเข็มทอง ทานลอดช่องสิงคโปร์ ทานขนมจีน
คุณแม่บอกว่าที่่ท่านใช้พีระมิดนั้น เนื่องจาก พระอาจารย์รัตน์ ท่านได้บอกกล่าวว่า พีระมิดสามารถดึงพลังปราณ และ พลังมโนธาตุ และ ด๊อกเตอร์อาจอง บอกกล่าวว่า พีระมิดทำให้กล้วยไม่เน่า เนื้อสัตว์ไม่เน่า เพียงแต่แห้งเท่านั้น เมื่อไปวางไว้ที่ตำแหน่ง 1/3 ของความสูงของพีระมิด และ พีระมิดมีพลังงานเร้นลับที่ทางวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้า แต่ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า พลังงานเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อเอาน้ำมาตั้งไว้ใกล้ๆ หรือ ไว้ภายในพีระมิด เมื่อนำน้ำมาตรวจจะพบว่าโมเลกุลและผลึกของน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งในพระไตรปิฎก ยังกล่าวถึง พลังปราณ และ พลังมโนธาตุไว้ ซึ่งเราได้ทราบแต่เพียงว่า ร่างกายเราประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่แท้จริงแล้ว ร่างกายเรา ยังมี อากาศธาตุ และ วิญญาณธาตุ
พลังปราณ คือ พลังงานชีวิต
พลังมโนธาตุ คือ ธาตุรู้ คือ ความรู้สึกของจิตใจ
เมื่อเราเกิดความทุกข์ ความสุข ก็ไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์ในการตรวจวัด แต่เราก็มีความรู้สึกถึงความทุกข์ และ ความสุข
ซึ่ง พลังปราณจะมาทดแทนสำหรับคนที่บกพร่องในศีล ที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วย
มโนธาตุ ก็มาทดแทนผู้ที่ทำมโนกรรมไว้ จิตใจไม่สงบ มาช่วยทำให้จิตใจสุขสงบ
คุณแม่ไม่ได้นำพีระมิดมาทำลายล้มล้างศาสนาพุทธ แต่นำมาส่งเสริมให้เข้าถึงธรรมะ เวลาทำสมาธิจิตใจไม่สงบมีความคิดฟุ้งซ่าน ลองทำสมาธิในพีระมิด หรือ นำเอาพีระมิดจำลองมาวางใกล้ๆ ทำให้จิตสงบ สัมผัสพลังพีระมิด ทำให้ละวางความโกรธได้ เมื่อเรามีความสุข ทำอะไรก็ดีไปหมด ทุกอย่างก็จะดี การพูด การคิด การทำ ก็ดี เพราะ จิตใจมันดี ทุกสิ่งสำเร็จแล้ว มาจากใจ
คุณแม่ค้นพบว่า พลังพีระมิดช่วยขยายทุกสิ่งทุกอย่าง ทำบุญเล็กน้อย พีระมิดก็จะขยายบุญให้มากมายมหาศาล ขยายทั้งกรรมดี และ กรรมชั่ว พีระมิดช่วยย่นย่อเวลา ทำให้ทำบุญแล้วเห็นผลทันที แต่ให้ใช้ร่วมกับความเมตตาและความดี
ถ้าวันนี้ อาการเจ็บป่วยยังไม่หาย ให้ไปดูคลิป ศึกษาจากเวปบ้านสวนฯ แล้วนำไปปฎิบัติ โดยให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง ก็จะหายปวดหายป่วยได้ ให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิ ละเว้นการทำความชั่ว ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส
ที่บ้านสวนพีระมิด
คุณแหล๋น ได้ออกมาบอกกล่าวว่า นำจี้สฟิงซ์และแหวนไปให้คุณพ่อและคุณแม่ ทำให้คุณพ่อที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ที่ถ่ายปัสสาวะไม่ได้ ต้องโดนสวนมาตลอด เมื่อห้อยองค์สฟิงซ์แล้วก็ปัสสาวะไม่ติดขัด คุณแม่ก็นอนหลับได้
น้องที่ทำงานกับคุณแหล๋น ปวดหัวจากการเป็นหวัด เมื่อห้อยจี้สฟิงซ์แล้วอาการปวดหัวก็หาย แต่เมื่อจะเอาจี้ออกก็ปวดอีก ก็เลยให้ยืมใส่ไปครี่งวัน อาการก็หายไป
ขอขอบคุณทีมงานที่ช่วยทำให้ คุณแม่อุบลได้ไปบรรยายธรรมะได้สำเร็จลุล่วง
ขอขอบคุณ พี่แมว ที่แบ่งเบาภาระในการจัดส่งจี้สฟิงซ์และองค์พีระมิดจำลอง ให้ลูกหลานบ้านสวนฯ
ขออนุโมทนาบุญ กับ เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกท่าน ที่ไปใช้แรงกายที่บ้านสวนฯ ทำให้งานต่างๆ สำเร็จลุล่วงไปอย่างมากมาย ครับ
ขอน้อมกราบ ต่อธรรมะ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ในเรื่องกสิน
สาธุ สาธุ สาธุ
|